ปากเสียงของคนท้องถิ่น เพื่อการพัฒนาประเทศ
เกษตรนำไทย ย้อนกลับ
กรมประมงผนึกกำลัง ปตท.สผ. ร่วมศึกษาวิจัย ใช้เทคโนโลยีการเปลี่ยนคาร์บอนเป็นหินแร่ในปะการังเทียม
13 ก.ย. 2566

           กรุงเทพฯ 12 กันยายน 2566 – กรมประมง โดยนายเฉลิมชัย สุวรรณรักษ์ อธิบดีกรมประมง และบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. โดยนายมนตรี ลาวัลย์ชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ในโครงการศึกษาวิจัยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีการเปลี่ยนคาร์บอนไดออกไซด์เป็นหินแร่ เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของปะการังเทียม และนำไปใช้เพื่อการฟื้นฟูทรัพยากรประมงทะเล พิธีลงนามจัดขึ้น ณ ศูนย์เอนเนอร์ยี่คอมเพล็กซ์

          นายเฉลิมชัย สุวรรณรักษ์ อธิบดีกรมประมง กล่าวว่า กรมประมงเป็นหน่วยงานที่มีภารกิจหลักในการบริหารจัดการทรัพยากรประมงเพื่อให้มีการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน โดยในส่วนของการฟื้นฟูทรัพยากรประมงทะเล ได้ดำเนินโครงการจัดสร้างปะการังเทียมมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2521 เพื่อเป็นแหล่งที่อยู่อาศัย เลี้ยงตัว วางไข่ และหลบภัยของสัตว์น้ำ เพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ท้องทะเล รวมทั้งเป็นการพัฒนาแหล่งทำการประมงพื้นบ้าน ทำให้ชาวประมงมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น  นอกจากนี้ กรมประมงยังให้ความสำคัญกับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม เนื่องจากสภาวะโลกร้อนนับเป็นปัญหาที่ทั่วโลกต่างให้ความสำคัญ โดยจากข้อมูลงานวิจัยต่าง ๆ พบว่า สภาวะโลกร้อนได้ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของสัตว์น้ำ เนื่องจากอุณหภูมิของน้ำทะเลที่สูงขึ้น จะเพิ่มความเครียดและส่งผลกระทบต่อกระบวนการทางเคมีของสัตว์น้ำ ทำให้สัตว์น้ำยากต่อการสืบพันธุ์ และเจริญเติบโต 
          สำหรับโครงการศึกษาวิจัยการเปลี่ยนคาร์บอนไดออกไซด์เป็นหินแร่เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของปะการังเทียมและนำไปใช้เพื่อการฟื้นฟูทรัพยากรประมงทะเล จึงนับเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือระหว่างกรมประมงและ ปตท.สผ. ในการร่วมกันพัฒนาองค์ความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อช่วยลดปัญหาสภาวะโลกร้อน โดยการใช้เทคโนโลยีการดักจับคาร์บอนไดออกไซด์ให้เปลี่ยนรูปเป็นแคลเซียมคาร์บอเน็ตในชั้นปูน ซึ่งจะเพิ่มความแข็งแรงของแท่งปะการังเทียมคอนกรีตได้มากขึ้น อีกทั้งยังช่วยรักษาสมดุลของระบบนิเวศ ฟื้นฟูทรัพยากรสัตว์น้ำ รวมถึงส่งเสริมการทำประมงพื้นบ้านให้ใช้ทรัพยากรอย่างสมดุล  ซึ่งถือได้ว่าเป็นก้าวที่สำคัญในการยกระดับเทคโนโลยีมาช่วยดูแลรักษาทรัพยากรประมงทะเลของประเทศไทยให้มีความยั่งยืนในอนาคต 
          กรมประมง พร้อมเดินหน้าร่วมดำเนินโครงการนี้ไปกับ บริษัท ปตท.สผ. เพื่อร่วมศึกษาวิจัยโครงการศึกษาวิจัยการเปลี่ยนคาร์บอนไดออกไซด์เป็นหินแร่เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของปะการังเทียมและนำไปใช้เพื่อการฟื้นฟูทรัพยากรประมงทะเลให้ประสบผลสำเร็จ เพื่อในการช่วยลดสภาวะโลกร้อน พร้อมกับพัฒนาและฟื้นฟูแหล่งประมงให้เกิดการใช้ประโยชน์อย่างเหมาะสมและเกิดความยั่งยืนต่อทรัพยากรประมงต่อไป
          นายมนตรี ลาวัลย์ชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ปตท.สผ. กล่าวว่า ปตท.สผ. ได้ตั้งเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี 2593 เพื่อสนับสนุนและขับเคลื่อนการดำเนินการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนและมุ่งไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำ หนึ่งในแนวทางที่ ปตท.สผ. ให้ความสำคัญคือการวิจัย พัฒนาเทคโนโลยี และนวัตกรรมต่าง ๆ เพื่อช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดย ปตท.สผ. ได้พัฒนาเทคโนโลยีในการเปลี่ยนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้เป็นแคลเซียมคาร์บอเนตในชั้นปูน เพื่อนำมาประยุกต์และจัดสร้างเป็นปะการังเทียม ที่มีความแข็งแรงและไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม เทคโนโลยีดังกล่าว นอกจากจะช่วยลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์แล้ว ยังช่วยในการอนุรักษ์ระบบนิเวศทางทะเล เพิ่มพื้นที่แหล่งปะการังซึ่งเป็นแหล่งอาศัยและอนุบาลสัตว์น้ำ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมความอุดมสมบูรณ์ให้กับท้องทะเลอีกด้วย
          นอกจากความร่วมมือในโครงการศึกษาวิจัยการเปลี่ยนคาร์บอนไดออกไซด์เป็นหินแร่ เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของปะการังเทียมครั้งนี้แล้ว ปตท.สผ. ยังพัฒนาโครงการและกิจกรรมอื่น ๆ ที่จะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์อีกด้วย โดยเฉพาะเทคโนโลยีการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ Carbon Capture and Storage (CCS) ซึ่งอยู่ในระหว่างการศึกษาและพัฒนาขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย โดยเริ่มที่แหล่งก๊าซธรรมชาติอาทิตย์ในอ่าวไทย โดยจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ในปริมาณมาก
          การลงนามบันทึกข้อตกลงในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการพัฒนาเทคโนโลยีนำไปใช้งานได้อย่างเหมาะสมและเกิดความยั่งยืนต่อทรัพยากรประมงแล้ว ยังสามารถนำไปต่อยอดการศึกษาความเป็นไปได้ในการเปลี่ยนคาร์บอนไดออกไซด์ในวัสดุอื่น ๆ ต่อไปในอนาคตอีกด้วย

หนังสือพิมพ์ OPT NEWS ONLINE
วันที่ 16 - 30 พฤศจิกายน 2567
อปท.นิวส์เชิญเป็นแขก ดูทั้งหมด
12 ก.ย. 2567
กล่าวได้ว่าบทบาทของตำรวจไทยทั้งในอดีตและปัจจุบัน หลายท่านหลายคน หลังจากผ่านความเหน็ดเหนื่อย ความยากลำบากในการผดุงความยุติธรรม ไล่จับคนร้ายทั้งตัวใหญ่ตัวเล็กมาตลอดชีวิตราชการ เห็นความทุกข์ยาองประชาชน เห็นปัญหาของสังคมในทุกแง่มุม อดไม่ได้ที่หลังเกษียณจะก้าวเข้าส...