นายราเมศ รัตนะเชวง รองโฆษกและคณะทำงานด้านกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง นายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ แกนนำ นปช. ที่ออกมาเรียกร้องให้ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ป.ป.ช.) ดำเนินการ รื้อฟื้นคดีสลายการชุมนุมปี 2553 มาพิจารณาใหม่นั้น ว่า ถือเป็นการออกมาเรียกร้องที่ไร้ซึ่งหลักการที่ถูกต้อง ไม่เคารพกระบวนการยุติธรรม เป็นการใช้วาทกรรมเพื่อให้สังคมสับสนและเกิดความเข้าใจผิด ทั้งที่คดีนี้ได้ยุติไปแล้ว ทั้งปัญหาข้อเท็จจริง และข้อกฎหมาย เพราะคดีนี้ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษายุติแล้วว่าเป็นอำนาจของ ป.ป.ช และมีความชัดเจนว่าไม่มีขั้นตอนไหนที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา ได้กระทำความผิดแต่อย่างใด
รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวต่อว่า เมื่อคดีได้มีการวินิจฉัยที่สุดแล้ว การที่จะมาดำเนินคดีกับบุคคลที่เคยถูกสอบสวนอีกเป็นไปไม่ได้ ถือว่าขัดต่อหลักกฎหมาย กล่าวคือเมื่อมีการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีอาญาผู้นั้นโดนดำเนินคดีซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่ได้
“ ขณะนี้มีการปลุกระดมมวลชน ปลุกระดมความคิดเพื่อนำไปสู่ความความขัดแย้ง ด้วยการบิดเบือนข้อมูล สร้างวาทกรรมที่เป็นเท็จ คนที่อยู่ในเหตุการณ์ และอธิบายได้ดีที่สุดในเหตุการณ์นี้คือ คนที่อยู่ในรัฐบาลนี้ เพราะได้อยู่ในเหตุการณ์ด้วย ทราบดีว่าบ้านเมืองได้เกิดอะไรขึ้น กลับกันรัฐบาลชุดนี้ต่างหากที่ควรเรียกร้องเพื่อให้ความเป็นธรรมให้กับนายทหารที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ เพราะคนที่ทำให้บ้านเมืองเสียหายยังกลับมีหน้ามาตะโกนเรียกหาความเป็นธรรม หากปล่อยไว้จากที่เป็นโจทก์ก็จะกลายเป็นจำเลย” รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว
นายราเมศ กล่าวอีกว่า ความชั่วร้ายในบ้านเมืองที่เกิดขึ้นในช่วงนั้น เกิดจากใคร นายณัฐวุฒิ และพวกทราบดี และรู้ว่าใครเป็นคนสร้างปัญหาให้กับบ้านเมือง การล้มการประชุมอาเซี่ยนที่พัทยา การเผาบ้านเผาเมือง คนเผาติดคุก คนบุกล้มการประชุมติดคุก ทั้งๆ ที่มีแกนนำประกาศว่า “เผาไปเลย ผมรับผิดชอบเอง” กลับไม่รับผิดชอบอะไรเลย และยังลอยนวลอยู่
“ในสามก๊กขุนพลแบบนี้ถือว่าไม่มีสัจจะ ไม่มีคุณธรรม ทอดทิ้งลูกน้อง เอาตัวรอด คนแบบนี้คบไม่ได้ อย่าว่าแต่เป็นขุนพลเลยเป็นคนดูแลม้ายังไม่ได้เลย”นายราเมศ กล่าวและว่า ส่วนคดีที่ได้มีคนไปแจ้งความในข้อหายุยง ส่งเสริม ให้มีการบุกล้มการประชุมอาเซี่ยน ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติต้องชี้แจงให้ชัดว่าคดีถึงไหน ในชั้นตำรวจหรือชั้นอัยการ เพราะดูจากข้อเท็จจริง ดูวิดีโอไปหลายรอบ คดีนี้ไม่น่าจะเป็นการสนับสนุน หรือ ยุยงส่งเสริม แต่น่าจะเป็นการแบ่งหน้าที่กันทำ เป็นตัวการร่วมอย่างชัดเจน