นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ฟื้นแผนพิงคนคร ชุบชีวิตเชียงใหม่ โดยนายปลอดประสพ สุรัสวดี เป็นประธานดำเนินการ, นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรมรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี อดีตผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงใหม่ เคลื่อนงานพื้นที่ พัฒนาพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และพื้นที่เชื่อมโยงต่อเนื่อง เพื่อประสิทธิภาพการบริหารจัดการให้เชียงใหม่เป็นมหานครท่องเที่ยวภาคเหนืออย่างเต็มภาคภูมิ โดยนายปลอดประสพ ผู้ริเริ่มโครงการพิงคนคร กล่าวว่า เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ได้เริ่มแผนพิงคนคร เพื่อให้ภาคเหนือของประเทศไทย เป็นจุดหมายปลายทางแห่งภูมิภาคอินโดจีน สร้างการท่องเที่ยวสร้างการเดินทาง สร้างเงิน สร้างงานให้คนไทย โดยมี 3 เสาหลักคือ เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี ในรูปแบบ Nature Theme Park ซึ่งมีเพียงไม่กี่แห่งในโลก, พืชสวนโลก งานมหกรรมจัดแสดงด้านพืชสวนกลางแจ้งโชว์ศักยภาพด้านการเกษตร และการจัดงานระดับโลกในประเทศไทย และหอประชุมเฉลิมพระเกียรติและศูนย์แสดงสินค้า OTOP ขนาด 60,000 ตารางเมตร แถมด้วยแผน Cable Car ขึ้นดอยสุเทพท่องเที่ยวเส้นทางวิถีชีวิตชาวเขา และ Fresh Water World ที่ใหญ่ที่สุดในโลก คงกลิ่นไอการท่องเที่ยวด้านศิลปะวัฒนธรรม ประเพณี และความสวยงามตามธรรมชาติของป่าเขาลำเนาไพรครบทุกมิติ พิงคนคร เคยดำเนินการและมีแผนพร้อมแล้ว เพียงปัดฝุ่นด้วยทีมทำงานที่มีประสิทธิภาพ ก็จะสามารถทำได้ทันที 10 ปีที่แล้วได้เริ่มต้นไว้ วันนี้ต้องกลับมาทำต่อ แต่ก็ยินดี จากนี้พิงคนครจะไม่ใช่แค่หน่วยงานทำงบประมาณประจำปีเท่านั้น แต่ต้องสร้างและพัฒนาโครงการใหม่ๆ เพื่อให้ประเทศไทย กลับมาดึงดูดสายตาคนทั่วโลกเหมือนในอดีตอีกครั้ง นายจักรพล กล่าวปิดท้ายว่า การฟื้นแผนพิงคนคร คือการสนับสนุนและสอดคล้องไปกับนโยบายของรัฐบาล โครงสร้างพื้นฐาน เช่น แผนขยายสนามบินนานาชาติเชียงใหม่และแผนการสร้างสนามบินแห่งใหม่เพิ่มเติม รัฐบาลนี้ก็พร้อมรื้อแผนและเริ่มติดตามผลักดันหลายส่วนไปแล้ว ซึ่งจะทำให้นักท่องเที่ยวจำนวนมหาศาลทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศหลั่งไหลเข้าสู่จังหวัดเชียงใหม่ เชื่อว่าการทำงานระดับนโยบายท้องถิ่นที่มีอยู่ โดยได้รับการสนับสนุนนโยบายระดับประเทศ จะยิ่งผลักดันให้เกิดประสิทธิภาพ และสร้างประโยชน์สูงสุดให้กับประเทศไทยเชื่อมโยงพื้นภาคเหนือ และพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่เข้ากับภูมิภาคอินโดจีน-ประเทศจีนตอนล่าง รวมถึงบางประเทศในเอเชียงใต้ เป็นการพัฒนาพื้นที่ทั้งด้านคุณภาพและความหลากหลายอย่างยั่งยืน