สถาบันวิชาการ14ตุลาจัดสัมมนาใหญ่ครบรอบ50ปี14ตุลาอดีตผู้นำนิสิตนักศึกษาย้ำชัดภารกิจเพื่อประเทศชาติยังไม่จบระบุนายทุนชักใยการเมืองไทยร่วมประกาศแถลงการณ์เดินหน้าแก้ปัญหาความยากจนมุ่งสู่ประชาธิปไตยอัตลักษณ์ไทย
เมื่อวันที่14ตุลาคม2566ที่ห้องประชุมราชาโรงแรมรัตนโกสินทร์ถนนราชดำเนินกรุงเทพมหานครมูลนิธิสถาบันวิชาการ14ตุลาจัดสัมมนาทางวิชาการครั้งที่5 50ปี14ตุลา “จังหวะก้าวการพัฒนาทีสมดุลต่อเนื่องมั่นคงและรอบด้าน”มีบรรดาอดีตผู้นำนักศึกษายุค14ตุลา2516และ6ตุลา2519อดีตนักการเมืองและอดีตผู้นำในภาคส่วนต่างๆพร้อมประชาชนจำนวนมากเข้าร่วมงานอาทินายชั่งทองโอภาสศิริวิทย์อดีตตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองสูงสุดนายสุชนชาลีเครืออดีตประธานวุฒิสมาชิกนายปราโมทย์นาครทรรพนักวิชาการอิสระนายพงษ์ศักดิ์พยัคฆวิเชียรนักหนังสือพิมพ์อาวุโสและนายไพศาลพืชมงคลนักคิดอิสระ
นายพีรพลติรยะเกษมประธานมูลนิธิสถาบันวิชาการ14ตุลาและอดีตประธานสโมสรนักศึกษามหาวทยาลัยธรรมศาสตร์กล่าวตอนหนึ่งในการเปิดสัมมนาว่า14ตุลาเป็นเหตุการณ์สำคัญของประเทศและเป็นครั้งเดียวในประวัติศาสตร์ของประเทศไทยที่ประชาชนทั้งประเทศเห็นตรงกันในการต่อต้านเผด็จการและที่สำคัญอีกอย่างคือวีรชน14ตุลาได้รับพระราชทานเพลิงศพจากในหลวงรัชกาลที่9และสมเด็จพระบรมราชินีนาถที่ท้องสนามหลวงพร้อมกันนั้นประชาชนยังร่วมกันสร้างอนุสรณ์สถานนอกจากนี้ในโอกาสเหตุการณ์14ตุลาครบรอบ30ปีทางมูลนิธิยังได้ร่วมกับรัฐบาลทักษิณเมื่อปี2546กำหนดให้วันที่14ตุลาคมเป็นวันประชาธิปไตยแต่ไม่ใช่วันหยุดราชการ
“ในวันนี้ครบรอบ50ปีความใฝ่ฝันที่อยากจะเห็นการเมืองที่มีประชาธิปไตยสังคมและเศรษฐกิจที่ดีประชาชนกินดีอยู่ดียังไม่บรรลุผลภารกิจต่างๆยังไม่จบควรจะต้องสานภารกิจเหล่านี้ต่อไปเพื่อให้จบในคนรุ่นเราหรือไม่เพื่อหาทางออกให้กับสังคมไทย”นายพีรพลกล่าวและว่าทางมูลนิธิสถาบันวิชาการ14ตุลาได้จัดพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับเหตุการณ์14ตุลาจำนวน3เล่มด้วยกันเล่มแรกเป็นการพิมพ์ซ้ำเรื่องที่อมธ.พิมพ์ไว้ก่อนเล่ม2เป็นเรื่อง50ปี14ตุลาที่ผู้อยู่ในหตุการณ์ช่วยกันเขียนและเล่มล่าสุด50ปี14ตุลาที่รศ.ดร.วิทยากรเชียงกูลอดีตคณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคมมหาวิทยาลัยรังสิตเป็นผู้เขียน
จากนั้นมีการอ่านแถลงการณ์เนื่องในโอกาสครบรอบ๕๐ปี๑๔ตุลาความว่าตลอดระยะเวลา๕๐ปีนับจากเหตุการณ์ประวัติศาสตร์๑๔ตุลา๒๕๑๖สังคมไทยได้เปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงทั้งความคิดการกระทำและทัศนคติต่อสิ่งต่างๆที่มีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงจนเกิดสภาพที่สังคมไทยพบกับทางเดินที่ตีบตันทางเดินที่ไม่กระจ่างชัดและไม่แน่ใจว่าเป้าหมายจะอยู่ที่ใด
ในวันที่๑๓ตุลาคม๒๕๑๖นักเรียนนิสิตนักศึกษาและประชาชนได้แสดงออกถึงพลังความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญความเสียสละต่อสังคมและประเทศชาติโดยร่วมกันเคลื่อนขบวนมวลชนจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์สู่เส้นทางประวัติศาสตร์การเมืองไทยบนถนนราชดำเนินจนถึงลานพระบรมรูปทรงม้าและพัฒนาเหตุการณ์ประชาธิปไตยจนถึงวันที่๑๔ตุลา๒๕๑๖ที่เกิดการปะทะระหว่างอำนาจเผด็จการทหารกับพลังของนักศึกษาและประชาชนผู้กล้าหาญและมาวันนี้ครบรอบ๕๐ปีแล้วมูลนิธิสถาบันวิชาการ๑๔ตุลาในฐานะของมวลชนส่วนหนึ่งในวันนั้นมิได้นิ่งนอนใจต่อระบอบประชาธิปไตยไทยยังคงมุ่งมั่นที่จะต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพประชาธิปไตยของไทยอย่างไม่หยุดยั้งและรั้งรอ
๕๐ปีของสายธารประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยได้แสดงอย่างชัดเจนแล้วว่าภารกิจของประชาชนยังไม่สิ้นสุดและต้องมั่นคงในเส้นทางต่อๆไปจนกว่าจะบรรลุเจตนารมณ์กล่าวคือเส้นทางประชาธิปไตยจะมุ่งสู่ประชาธิปไตยอัตลักษณ์ไทย, เส้นทางประชาชนจะมุ่งสู่การสร้างความเป็นธรรมในสังคมเพื่อแก้ไขความทุกข์ลำเค็ญของประชาชน, เส้นทางประชาชาติจะสร้างความเป็นมิตรและความเป็นกลางกับประเทศทั้งปวงภายใต้ผลประโยชน์ของชาติและความเท่าเทียมของนานาอารยประเทศ
ด้านนายสมพงษ์สระกวีอดีตนายกองค์การบริหารนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหงนำเสนอหัวข้อ “พรรคการเมืองการเมืองของประชาชน” ว่าหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาเราได้ประชาธิปไตยมาแล้วแต่ในช่วง50 ปี 14 ตุลาประเทศไทยต้องเผชิญกับการปฏิวัติยึดอำนาจจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งด้วยกระบอกปืนและรถถังจากงบประมาณภาษีของประชาชนวันนี้เราก็วนกลับมาเรียกหาประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนอีกครั้งและวันนี้การเมืองไทยได้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งซึ่งไม่ปรากฏชื่อพลเอกนำหน้าอยู่ในคณะรัฐมนตรีแม้แต่คนเดียวจึงน่าจะเป็นโอกาสใหม่ฟ้าใหม่ว่าเรากำลังก้าวสู่ประชาธิปไตยแต่คนไทยหายใจโล่งหรือไม่ว่าประเทศนี้จะไม่มีรัฐประหารยึดอำนาจกันเองจะไม่มีรถถังและกระบอกปืนที่ใช้เงินภาษีประชาชนซื้อมายึดอำนาจกันเอง
“ไม่มีใครในแผ่นดินนี้เลยที่จะกล้ารับประกันว่าแสงทองของระบอบประชาธิปไตยได้สาดส่องแล้วความผิดสำคัญของพวกเราที่ผ่านเหตุการณ์ 14ตุลาคือเราขาดความเอาจริงเอาจังขาดความทุ่มเทอย่างสุดชีวิตจิตใจในการที่จะสร้างที่จะมีพรรคการเมืองของประชาชน” อดีตนายกองค์การบริหารนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหงกล่าว
นายสมพงษ์กล่าวด้วยว่าเรามีประวัติศาสตร์ว่าจะต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพประชาธิปไตยรัฐธรรมนูญและพรรคการเมืองของประชาชนแต่จะมีซักกี่คนที่ยอมจ่ายเงิน 100 บาทต่อปีสร้างพรรคการเมืองที่เป็นของประชาชนเพื่อต่อกรกับอำนาจที่ผิดเพี้ยนและผิดปกติแต่ดำรงอยู่จริงในสังคมไทยคือคำว่ารัฏฐาธิปัตย์
“สังคมไทย50 ปีของระบอบประชาธิปไตยเราต้องอยู่กับคำว่ารัฏฐาธิปัตย์นี้อย่างเจ็บปวดอย่างที่สุดวันนี้รัฏฐาธิปัตย์นี้เรากำลังพูดกันว่ามีวิธีที่จะเข้าสู่รัฏฐาธิปัตย์คืออำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีประชาธิปไตยเมื่อเปิดโอกาสเป็นวิธีประชาธิปไตยคือต้องมีพรรคการเมืองถ้าท่านยังไม่ยอมควักแม้แต่ร้อยบาทต่อปีเพื่อให้กับพรรคการเมืองจะบอกได้อย่างไรว่าเราพร้อมที่จะเข้าสู่อำนาจรัฐตามระบอบประชาธิปไตยแต่เรากลับไม่สนับสนุนพรรคการเมืองใดหวังว่าพวกเรายุค 14 ตุลาการสืบทอดอุดมการณ์ 14 ตุลาประชาธิปไตยอาจมีหลายทางอาจมีหลายบทบาทอาจมีหลายหน้าที่แต่สิ่งที่อยากเห็นคือการที่พวกเราได้ทุ่มเทอย่างน้อยที่สุดปีละร้อยบาทช่วยบริจาคให้กับพรรคการเมืองที่ท่านคิดว่าเป็นความหวังของท่านได้ทำการเมืองที่ไม่ใช่อยู่เป็นไม่ใช่อยู่รอดเพราะเราได้เห็นแล้วพรรคการเมืองที่อยู่เป็นปรับตัวเป็นอยู่รอดและอยู่มา 70 ปีวันนี้จะสูญพันธุ์”นายสมพงษ์กล่าว
-------------------------------