“รมช.อนุชา” มุ่งเชื่อมโยงนโยบายเกษตรแบบแปลงใหญ่ หนุนปรับเปลี่ยนพื้นที่ทำนาสร้างอาชีพเสริม หวังชาวนาหลุดพ้นจากความยากจน มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวในโอกาสเป็นประธานพิธีเปิดสัมมนา “การเชื่อมโยงนโยบายเกษตรแบบแปลงใหญ่และศักยภาพศูนย์ข้าวชุมชน สู่นโยบายด้านการผลิตข้าวของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และนโยบายรัฐบาล” โดยมี นายณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ อธิบดีกรมการข้าว นายชิษณุชา บุดดาบุญ รองอธิบดีกรมการข้าว นายอานนท์ นนทรีย์ รองอธิบดีกรมการข้าว ผู้บริหารกรมการข้าวทั้งจากส่วนกลางและส่วนภูมิภาค เข้าร่วม ณ โรงแรมรามาการ์เด้นส์ กรุงเทพมหานคร ว่า กรมการข้าว เป็นหน่วยงานที่สำคัญเพราะเกี่ยวข้องกับคนไทยทั้งประเทศ โดยเกษตรกรชาวนาผู้ปลูกข้าวถือเป็นกลุ่มอาชีพที่เป็นผู้ผลิตอาหารหลักและสร้างรายได้ให้กับประเทศปีละเป็นจำนวนมาก ดังนั้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมการข้าว ต้องร่วมกันหาแนวทางในการผลักดันให้พี่น้องชาวนามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น หลุดพ้นจากความยากจน หลุดพ้นหนี้สิน โดยนำนวัตกรรมที่กรมฯ เคยได้ดำเนินการอยู่แล้ว เช่น การวิจัยพันธุ์ข้าว นาแปลงใหญ่ เกษตรทฤษฎีใหม่ เป็นต้น นำมาช่วยเหลือชาวนาให้เข้มแข็ง อย่างไรก็ตาม ข้าวเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของไทย ทำเงินเข้าประเทศประมาณ 4 แสนล้านบาท แต่ชาวนาไทยยังมีรายได้ไม่เพียงพอ จึงได้มอบนโยบายให้กรมการข้าวเร่งขับเคลื่อนการสร้างอาชีพเสริมให้กับชาวนา เช่น การปลูกพืชเสริมหลังนา การปลูกพืชหมุนเวียน และสนับสนุนเมล็ดพันธุ์ดีมีคุณภาพ เพิ่มผลผลิต ตลอดจนเครื่องมือผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวที่ทันสมัยให้กับชาวนา
นอกจากนั้น การจะเพิ่ม GDP ภาคเกษตรให้สูงขึ้นได้ จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนพื้นที่การทำนาส่วนนึง มาเลี้ยงโคแบบคณิตศาสตร์ ซึ่งจะช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ แม้ตัวเลข GDP ภาคเกษตร มีสัดส่วนเพียง 7-8% ของ GDP รวมทั้งประเทศ แต่ภาคเกษตรถือเป็นหัวใจสำคัญของประเทศ เปรียบเหมือนรากฐานสำคัญของเศรษฐกิจไทย เชื่อมั่นว่า กรมการข้าว และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะสามารถผลักดันและเป็นส่วนหนึ่งที่จำทำให้เกษตรกรชาวนาได้หลุดพ้นจากความยากจน สู่อาชีพที่มั่นคง และมีชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นได้
สำหรับการขับเคลื่อนงานของกรมการข้าว ตามนโยบายรัฐบาล และนโยบายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ต้องเร่งดำเนินการ มีดังนี้ 1. สร้างวิธีการทำงานสู่การปฏิบัติ ได้แก่ ส่งเสริมนาแปลงใหญ่ 1,344 แปลง เสริมสร้างศักยภาพศูนย์ข้าวชุมชน 800 ศูนย์ และชาวนาอาสา 2. รับมือภัยธรรมชาติ ได้แก่ การเตือนภัยการระบาดศัตรูข้าว สนับสนุนเมล็ดพันธุ์ข้าวให้เกษตรกรผู้ประสบภัยทางธรรมชาติ 3. ประกาศสงครามกับสินค้าเกษตรเถื่อน ได้แก่ ป้องกันและปราบปรามเมล็ดพันธุ์ข้าวปลอม (สารวัตรข้าว) ตรวจติดตาม ควบคุม กำกับ สถานประกอบการธุรกิจเมล็ดพันธุ์ ควบคุมข้าวเปลือกในพื้นที่ จัดทำฐานข้อมูลของสถานประกอบการธุรกิจเมล็ดพันธุ์ข้าวให้เป็นปัจจุบัน ปราบปรามพันธุ์ข้าวที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้อง/พันธุ์ข้าว จากประเทศเพื่อนบ้าน ในพื้นที่ภาคกลางและจังหวัดชายแดน 4. ยกระดับสินค้าเกษตรเสริมศักยภาพเกษตรกร ได้แก่ การผลักดันสินค้าเกษตร และบริการมูลค่าสูง 1 ท้องถิ่น 1 สินค้าเกษตรมูลค่าสูง ส่งเสริมเกษตรกรเป็นผู้ให้บริการทางการเกษตรครบวงจร 5. จัดการทรัพยากรทางการเกษตร ส่งเสริมการลดต้นทุนการผลิตข้าวรักษ์โลก BCG Model และ 6. อำนวยความสะดวกด้านการเกษตร ได้แก่ พัฒนาเกษตรกรปราดเปรื่อง (Smart Farmer) ศูนย์บริการชาวนา 60 แห่ง ให้บริการความรู้ด้านข้าว
ด้านนายณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ อธิบดีกรมการข้าว กล่าวว่า การจัดการสัมมนา “การเชื่อมโยงนโยบายเกษตรแบบแปลงใหญ่และศักยภาพศูนย์ข้าวชุมชนสู่นโยบายด้านการผลิตข้าวของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และนโยบายรัฐบาล” วัตถุประสงค์ เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจในด้านการผลิตข้าวของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และนโยบายรัฐบาล ซึ่งประเด็นสำคัญในการสัมมนาครั้งนี้ ได้แก่ 1) การมอบนโยบายการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาล นโยบายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ด้านการผลิตข้าวสู่การปฏิบัติให้เกิดผลสำเร็จ โดยท่านรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายอนุชา นาคาศัย) 2) การมอบนโยบาย ในหัวข้อ เรื่อง “การขับเคลื่อนนโยบายของกรมการข้าวที่เชื่อมโยงกับ นโยบายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และนโยบายรัฐบาล” โดยอธิบดีกรมการข้าว 3) การบรรยายพิเศษในหัวข้อ เรื่อง “การเชื่อมโยงนโยบายด้านการผลิตข้าวสู่การปฏิบัติของกรมการข้าว” โดย ดร.ชิษณุชา บุดดาบุญ รองอธิบดีกรมการข้าว 4) การบรรยายพิเศษในหัวข้อ เรื่อง “งานวิจัยกับการเชื่อมโยงนโยบายของกรมการข้าว” โดย นายอานนท์ นนทรีย์ รองอธิบดีกรมการข้าว และ 5) การชี้แจง “แนวทางการขับเคลื่อนการดำเนินงานในส่วนของกรมการข้าวโดยผู้อำนวยการสำนัก/กอง ต่าง ๆ