เมื่อวันที่ 20 ต.ค.66 เวลา 14.30 น. พล.ต.อ.ดร.ณัฐธร เพราะสุนทร กสทช.ด้านกฎหมายและประธานอนุกรรมการบูรณาการบังคับใช้กฎหมายความผิดทางเทคโนโลยีฯ, พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท., พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.อำนาจ ไตรพจน์ รอง ผบช.สอท. พล.ต.ต.ฐิตวัฒน์ สุริยฉาย ผบก.สอท.4, พล.ต.ต.ณัฐกร ประภายนต์ ผบก.สอท.2, นายสุทธิศักดิ์ ตันตะโยธิน รองเลขาธิการ รักษาราชการแทน เลขาธิการ กสทช., นายจาตุรนต์ โชคสวัสดิ์ ผอ.สำนักกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคม, นายสุธีระ พึ่งธรรม ผอ.สำนักกิจการภูมิภาค
พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ สำนักงาน กสทช. และ สอท. ร่วมกันแถลงผล การตรวจค้นเป้าหมาย จำนวน 5 จุด ทั่วกรุงเทพฯ สามารถตรวจยึดอุปกรณ์โทรคมนาคมผิดกฎหมายเป็นจำนวนมาก ณ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) เมืองทองธานี
พล.ต.ท.วรวัฒน์ฯ กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมา สอท. ได้มอบหมายให้ พล.ต.ต.ณัฐกรฯ ประสานการปฏิบัติร่วมกับ กสทช. พบข้อมูลว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้มีการย้ายฐานปฎิบัติการเข้ามาตั้งในพื้นที่กรุงเทพฯ จำนวนหลายแห่ง โดยการใช้เครื่องมือวิทยุโทรคมนาคมผิดกฎหมายเพื่อโทรและส่งข้อความหลอกลวง มีประชาชนตกเป็นเหยื่อเป็นจำนวนมาก จึงได้สั่งการให้ทำการสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขอหมายค้นจากศาล จนนำมาสู่การปฎิบัติการเข้าค้นพร้อมกัน 5 จุด โดยมีรายละเอียด ดังนี้
จุดที่ 1 พบ Simbox แบบ 32 ซิม จำนวน 2 เครื่อง พร้อมซิม 64 ซิม และ Wifi Router
จุดที่ 2 เครื่อง Simbox ไม่มีตราอักษร 2 เครื่อง Simcard รวม 64 ซิม
จุดที่ 3 เครื่อง Simbox ip-pbx 2 เครื่อง รวม 64 sim พร้อม wifi router
จุดที่ 4 พบ Simbox ไม่มีตราอักษรและรุ่น แบบ 32 ซิม จำนวน 2 เครื่อง รวม 64 ซิม พร้อม Wifi router
จุด 5 พบ Simbox ไม่มีตราอักษรและรุ่น จำนวน 2 เครื่อง และ ซิมการ์ด 64 ชิม
พร้อมด้วยอุปกรณ์ที่ใช้ในการกระทำความผิดจำนวนมาก สำหรับการทำงานของเครื่อง GSM Gateways (Simbox) ที่ตรวจยึดได้นั้นเป็นอุปกรณ์ที่คนร้ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ใช้ในการโทรศัพท์ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตแล้วแปลงสัญญาณเป็นสัญญาณโทรศัพท์เพื่อโทรออกไปหลอกลวงหรือข่มขู่ผู้เสียหาย โดยลักลอบนำเข้าอย่างผิดกฎหมาย เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.วิทยุคมนาคมฯ จึงได้นำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางทั้งหมด ส่ง พนักงานสอบสวน สอท. และขยายผลไปถึงผู้ทำสัญญาเช่าอาคารและผู้ให้เช่าเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
พล.ต.อ.ณัฐธรฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา สำนักงาน กสทช. ได้ร่วมมือกับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เดินหน้าปราบปรามสถานีโทรคมนาคมผิดกฎหมาย ควบคู่ไปกับการจัดระเบียบเสาสัญญาณตลอดแนวชายแดนประเทศเพื่อน สามารถจับกุมและตรวจยึดสถานีโทรคมนาคมผิดกฎหมายเป็นจำนวนมาก ทำให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่มีฐานปฎิบัติการตามแนวชายแดนบางส่วนปรับเปลี่ยนวิธีการทำงาน โดยย้ายเข้ามาตั้งฐานในประเทศและใช้เครื่อง GSM Gateways (Simbox) ที่สามารถใส่ได้ถึง 32 ซิม
นอกจากนี้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ยังได้ปรับเปลี่ยนวิธีการโดยแต่เดิมจะเช่าบ้านแล้วตั้งเราเตอร์เพื่อต่อกับซิมบ็อกซ์ ทำให้เจ้าหน้าที่สามารถตรวจจับจากจำนวนการใช้งานที่ผิดปกติ
ในการเข้าตรวจค้นทั้ง 5 จุดในวันนี้ พบว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้เช่าพื้นที่ในอาคารสำนักงานขนาดใหญ่ แล้วใช้เราเตอร์ของอาคาร ทำให้กลืนไปกับปริมาณการใช้งานของอาคาร เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ตรวจจับได้ยากขึ้น นอกจากนี้การเข้ามาตั้งซิมบ็อคในประเทศไทยทำให้หมายเลขการโทรแสดงเป็นหมายเลขภายในประเทศ เพื่อหลบเลี่ยงมาตรการขึ้นหมายเลขหน้าเบอร์โทร PreFix ของ กสทช.
โดยเครื่องมือโทรคมนาคมดังกล่าว ไม่ผ่านการตรวจสอบและรับรองมาตรฐานจาก สำนักงาน กสทช. แต่อย่างใด จึงเป็นความผิดฐาน “มี, ใช้ และนำเข้าเครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาตและใช้คลื่นความถี่โดยไม่ได้รับอนุญาต” ตาม พ.ร.บ.วิทยุคมนาคม พ.ศ. 2498 มีโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท และฐาน “ประกอบกิจการโทรคมนาคมโดยไม่ได้อนุญาต” ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการประกอบกิจการโทรคมนาคมฯ มีโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
นอกจากนี้ในประเด็นซิมผีและบัญชีม้า สำนักงาน กสทช. ได้มีมติออกประกาศให้บุคคลที่ถือครองซิม จำนวนมากๆ มายืนยันตัวตนภายในระยะเวลาที่กำหนด เพื่อประโยชน์หากว่าซิมใดซิมหนึ่งถูกนำไปใช้ในทางมิชอบ จะทำให้เจ้าหน้าที่สามารถสาวถึงผู้กระทำความผิดและผู้ร่วมขบวนการ นำตัวมาดำเนินคดีตามกฏหมายได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว