มีรายงานว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ที่ประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติเอกฉันท์ชี้มูลความผิด นายศุภชัย โพธิ์สุ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครพนม กรณีบุกรุกหรือถือครองและเข้าทำประโยชน์ในที่ดิน น.ส.2 หรือใบจองในโครงการจัดที่ดินผืนใหญ่แปลงป่าดงพะทาย ท้องที่อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม โดยการซื้อที่ดินและไม่มีหลักฐานใบจองที่ดินจนถึงปัจจุบัน จำนวน 40 แปลง เนื้อที่ 220 ไร่ ซึ่งถือเป็นการกระทำฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงตามมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ. 2561 ให้ส่งสำนวนยืนฟ้องศาลฎีกาตามขั้นตอนทางกฎหมายต่อไป
สำหรับกรณีเคยปรากฏเป็นข่าวคณะกรรมาธิการ (กมธ.) จริยธรรมสภาผู้แทนราษฎร เข้าตรวจสอบในช่วงเดือน ธ.ค.2565 หลังได้รับเรื่องร้องเรียนว่านายศุภชัย ครอบครองที่ดินป่าดงพะทาย ที่บริเวณ ต.พะทาย อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม โดยมิชอบด้วยกฎหมาย
ขณะที่ นายศุภชัย ยืนยันว่าได้ครอบครองที่ดินดังกล่าวมาตั้งแต่ปี 2531 ถึง 2532 ทำการเกษตร จำนวนประมาณ 200ไร่ ซึ่งขณะนั้นยังเป็นครูสอนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนบ้านท่าหนามแก้ว ต.พะทาย อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม ก่อนมาเป็น สส. เมื่อปี 2544 แสดงให้เห็นว่าไม่ได้ใช้ตำแหน่งหน้าที่ ความเป็น สส. เพื่อให้ได้มาซึ่งที่ดินเหล่านั้นแต่อย่างใดและขอร้องให้ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎรในขณะนั้น เร่งให้ กมธ.จริยธรรมเร่งให้ตรวจสอบ ให้สิ้นสุดกระแสความในสภาชุดนี้ซึ่งสุดท้ายหากผลการตรวจสอบออกมาเป็นอย่างไร พร้อมน้อมรับ
นายศุภชัย ยังชี้แจงด้วยว่า ในช่วงปี 2518-2519 รัฐบาลได้ทำการจัดสรรที่ดินป่าดงพะทายให้ชาวบ้านทำกิน โดยแบ่งเป็นล็อก ล็อกละ 10 ไร่เพื่อทำการเกษตร และยังให้เป็นที่อยู่อาศัยอีกคนละ 1 ไร่ และต่อมาเกิดปัญหาชาวบ้านไม่เข้าทำประโยชน์ หรือซื้อขายเปลี่ยนมือไปทำให้ผิดเงื่อนไข นำไปสู่การจำหน่ายใบจองในพื้นที่ป่าดงพะทายจำนวน ทั้งหมดประมาณ 20,000 ไร่ โดยมีผู้ที่ครอบครองที่ดินและทำกินอยู่ไม่ตรงชื่อตามใบจอง รวมทั้งสิ้นถึง 880 แปลง จากนั้นคนที่ครอบครองที่ดินดังกล่าวจึงสามารถไปดำเนินการขอออกเอกสารสิทธิ์ตามกฎหมายที่ดิน ซึ่งที่ดินของตนครอบครองมา 30 ปี ไม่มีใครยึดได้ และพื้นที่ดังกล่าวไม่ใช่พื้นที่ป่า เป็นเพียงชื่อเรียกเท่านั้น เพราะเป็นพื้นที่รกร้างว่างเปล่า
อนึ่ง การชี้มูลความผิดของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังไม่ถือเป็นที่สุด ผู้ถูกกล่าวหายังเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีคำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุด