จากกรณีที่ทางตำรวจ สภ.ท่าม่วง รับแจ้งเหตุว่ามีผู้หญิงใช้อาวุธมีดไล่ฟันกันมีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสที่บริเวณหมู่ 2 ตำบลม่วงชุม อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งตำรวจได้คุมตัวผู้ก่อเหตุทราบชื่อคือนางอ้วน อายุ 49 ปี ไว้ได้พร้อมของกลางเป็นมีดสปาต้า เมื่อเวลา 19.30 นาฬิกา วันที่ 12 ธันวาคม ที่ผ่านมา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้เดินทางลงพื้นที่เกิดเหตุพบว่าบ้านหลังเกิดเหตุตั้งอยู่กลางทุ่งนายังพบรอยหยดเลือดตกอยู่ที่พื้นห้องภายในบ้านภายหลังทราบชื่อคนเจ็บคือนางสาวเอ (นามสมมุติ) อายุ 17 ปี ตอนนี้พักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล เนื่องจากได้รับบาดเจ็บจากการที่โดนนางสาวอ้วนใช้มีดแทงเข้าที่สีข้างด้านขวา หน้าขาอ่อนด้านขวา มีแผลถูกบาดที่แขนทั้งสองข้าง และแผลถูกมีดสปาต้าฟันที่ศรีษะ
ผู้สื่อข่าวได้พบกับ น้องบี อายุ 17 ปี (นามสมมุติ) ซึ่งเป็นลูกแท้ๆของนายโป้ง อายุ 42 ปี สามีของนางสาวอ้วนผู้ก่อเหตุ ที่อยู่ในเหตุการณ์ ได้เล่าว่า ตอนหกโมงเย็นเมื่อวาน (12 ธันวาคม) นางสาวอ้วนมีศักดิ์เป็นแม่เลี้ยงได้กลับลงมาจากกรุงเทพฯ พอมาถึงก็เสียงดังโวยวายถามหาพ่อ ตอนนั้นพ่อไปทำงานขึ้นฟาง ยังไม่กลับมา ก็เหลือตนเองพี่ตนและนางสาวเอผู้บาดเจ็บที่นั่งอยู่กันภายในบ้าน
ในขณะนั้นนางสาวอ้วนที่นั่งดื่มเบียร์อยู่ จู่ๆก็โวยวายขึ้นมาแล้วก็เดินเข้ามาหานางสาวเอ ก่อนที่จะใช้มีดกระหน่ำแทงนางสาวเอจนบาดเจ็บ แต่นางสาวเอได้วิ่งหนีไปหลบที่บ้านยายที่อยู่ข้างๆกัน ซึ่งในตอนเกิดเหตุพ่อตนไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ แต่หลังจากที่พ่อทราบเรื่องก็รีบกลับมาดูคนเจ็บและรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลพยว่าได้รับบาดเจ็บหลายแห่ง
ทางด้าน นางทองคลอ อายุ 72 ปี เล่าว่า ตอนนั้นตนกำลังนั่งดูทีวีกับหลานๆในบ้าน อยู่ๆคนเจ็บก็วิ่งเข้ามาขอความช่วยเหลือ บอกว่าถูกฟันมา ไม่นานก็พบว่านางสาวอ้วนผู้ก่อเหตุได้วิ่งตามพร้อมกับถือมีดสปาต้ามาด้วย ตนเองได้พยายามเรียกชื่อผู้ก่อเหตุให้อารมณ์เย็นลงแต่ก็ไม่เป็นผล นางสาวอ้วนได้บุกเข้ามาก่อนที่จะใช้มีดฟันเข้าที่ศรีษะนางสาวเออย่างแรง ก่อนจะมีคนแจ้งเจ้าหน้าที่มาระงับเหตุและนำตัวคนเจ็บส่งโรงพยาบาล ในส่วนนางสาวเอตนเองก็ไม่เคยเห็นมาก่อนเหมือนกัน
ทางด้าน พันตำรวจเอกพิทักษ์ ว่องพาณิชย์ ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรท่าม่วง ได้มอบให้ พันตำรวจโทธีรพงษ์ บุญชูวงศ์ รองผู้กำกับการสอบสวนฯ ร ร้อยตำรวจเอกชุมพล เหลืองอ่อน รองสารวัตรสอบสวนฯ ทำการสอบสวนผู้ก่อเหตุอย่างละเอียดและเรียกพยานมาให้ข้อมูลเบื้องต้นแจ้งข้อกล่าวหาทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายและจิตใจ เตรียมส่งฝากขังในวันนี้ 14 ธันวาคม ส่วนผู้บาดเจ็บยังไม่สามารถจะสอบปากคำได้ เพราะอยู่ในระหว่างการรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 19 อาการยังทรงอยู่ ส่วนผู้ก่อเหตุยังให้การวกวนและมีอาการเครียด.
คืบหน้าล่าสุดวันที่ 14 ธันวาคม ที่ สถานีตำรวจภูธรท่าม่วง ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ควบคุมตัวนางสาวอ้วน เพื่อที่จะมาสอบปากคำเพิ่มเติม พร้อมนำไปฝากขังที่ศาล ในช่วงบ่ายวันนี้
ต่อมาทางเจ้าหน้าที่พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้เดินทางมาที่สถานีตำรวจภูธรท่าม่วง เพื่อมาสอบถามนางสาวอ้วน ว่าได้จดทะเบียนสมรสกับสามีตนเองหรือไม่ พร้อมกับให้ข้อมูลกับผู้สื่อข่าวว่า หลังจากที่ได้ไปพูดคุยกับนางสาวเอ เด็กสาวอายุ 17 ปี ที่ถูกนางสาวอ้วนใช้อาวุธมีดฟันจนได้รับบาดเจ็บ เนื่องจากนางสาวอ้วนหึงห่วงที่สามีตนเอากิ๊กเข้ามาอยู่ในบ้าน โดยเบื้องต้นจะได้ประสานงานเพื่อให้ความช่วยเหลือกับนางสาวเอและครอบครัวต่อไปหลังจากออกจากโรงพยาบาลแล้ว
ต่อมา ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวนางสาวอ้วนมาสอบสวนโดยนางสาวอ้วนให้การว่า ตนเองรู้สึกผิดปกติไม่สามารถโทรติดต่อสามีได้ อีกทั้งยังแชทไปสามีก็ไม่ยอมตอบ จึงได้ขอรายงานกับทางที่ทำงานก่อนจะเดินทางกลับมาที่จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งขณะนี้ในระหว่างที่เดินทางตนเองได้พูดเสมอว่าขออย่าได้เจอหรือ อย่าให้เหมือนกับที่ตนเองคิด แต่เมื่อมาถึงที่บ้านก็พบว่าสามีตนเองนั้นมีผู้หญิงอื่นจริง จึงได้ดื่มเบียร์ย้อมใจก่อนที่จะเอารูปในโทรศัพท์ของหญิงสาวคนดังกล่าวมาดูพร้อมกับเดินไปหาที่บ้านของสามีก็พบว่ามีหญิงสาวอยู่จริงจึงได้หยิบมีดที่อยู่ในบ้านก็จะแทงเข้าที่บริเวณซี่โครงด้านขวา จากนั้นผู้หญิงคนดังกล่าวได้วิ่งหนีตนเองจึงได้หยิบมีดสปาร์ต้าตามไปไล่ฟันเข้าที่ศีรษะจนได้รับบาดเจ็บดังกล่าว
ซึ่งเรื่องนี้ตนเองยอมรับว่าทำจริงเพราะเคยจับได้แล้วว่าสามีเคยทำแบบนี้แบบนี้มาสามหนแล้ว แต่ทุกครั้งก็ให้อภัยเพราะรัก แต่ในครั้งนี้ตนเองอดไม่ไหวจริงๆมันจุกในอก เพราะว่าตนเองก็ยังคบหากับสามีคนนี้อยู่ซึ่งตนเองก็ไปทำงานที่กรุงเทพเพื่อที่จะส่งเงินมาให้สามีเลี้ยงลูก ซึ่งครั้งนี้ตนเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะยังรักสามีคนนี้อยู่หรือไม่
เบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งข้อกล่าวหาให้กับนางสาวอ้วน ในข้อหาพยายามฆ่า พร้อมทั้งจะเรียกสามีของนางสาวอ้วนมาสอบสวนในข้อหาพรากผู้เยาว์อีกด้วย.
////////////////////////////////////////////////////////
ข่าวภูมิภาคกาญจนบุรี / ปรีชา ไหลวารินทร์ - รายงาน