นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ แถลงภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการค้าและการลงทุนชายแดนและผ่านแดน ครั้งที่ 1/2566 พร้อมด้วย ดร.ชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ คณะผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ที่ห้องบุรฉัตรไชยากร ชั้น 4 สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์
นายภูมิธรรม กล่าวว่า ท่านนายกฯได้ลงนามคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการส่งเสริมการค้าและการลงทุนชายแดนและผ่านแดน ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ ตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าการค้าชายแดนและผ่านแดน เป็น 2 ล้านล้านบาท/ปี ใน 3 ปี จึงได้เชิญทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชุมร่วมกัน เพื่อให้เป็นเอกภาพในการทำงานให้การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศเติบโต และคณะกรรมการได้มีมติตั้งคณะอนุกรรมการ เพื่อดำเนินการ 4 ชุด เพื่อเป็นกลไกขับเคลื่อนการทำงานด้านต่างๆ ในการส่งเสริมและอำนวยความสะดวกการค้าชายแดนและผ่านแดนของไทย ตลอดจนแก้ไขปัญหาอุปสรรคด้านการค้าและการลงทุน ประกอบด้วย (1) คณะอนุกรรมการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยเพื่อเพิ่มมูลค่าการค้า (2) คณะอนุกรรมการยกระดับศักยภาพและการอำนวยความสะดวกของชายแดน และระบบขนส่ง/โลจิสติกส์ (3) คณะอนุกรรมการส่งเสริมและใช้ประโยชน์จากกรอบความตกลงและกรอบความร่วมมือต่างๆ (4) คณะอนุกรรมการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ชายแดนและประเทศเพื่อนบ้าน และได้กำหนดแผนยุทธศาสตร์การส่งเสริมการค้าและการลงทุนชายแดนและผ่านแดน ปี 2567-2570 ทั้งนี้มีความคืบหน้าสำคัญ อาทิ
1)การยกระดับจุดผ่อนปรนเป็นจุดผ่านแดนถาวร 3 แห่ง ได้แก่ (1) จุดผ่อนปรนพิเศษด่านสิงขร จ.ประจวบคีรีขันธ์ (2) จุดผ่อนปรนการค้าบ้านห้วยต้นนุ่น จ.แม่ฮ่องสอน ซึ่งจะเร่งเจรจากับฝ่ายเมียนมารับรองผลการสำรวจเขตแดนร่วม (Joint Detail Survey: JDS) ของด่านสิงขร และเร่งจัดทำ JDS ของด่านบ้านห้วยต้นนุ่น และ (3) จุดผ่อนปรนการค้าบ้านซับตารี จ.จันทบุรี ซึ่งล่าสุด ได้แต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการยกระดับฯ เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป แก้ไขข้อจำกัดต่างๆให้เดินหน้าได้
2)การแก้ไขปัญหาความล่าช้าในการนำเข้าและส่งออกสินค้า โดยเฉพาะด่านพรมแดนแม่สอด แห่งที่ 2 จ.ตาก ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้างจุดเอกซเรย์ด้านนอก และแขวงทางหลวงตากที่ 2(แม่สอด)ได้กำหนดจุดจอดตรวจสอบเอกสาร และตอนนี้ทางด่านได้เริ่มต้นดำเนินการตั้งแต่ 6 โมงเช้าเป็นต้นไป เพื่อบรรเทาความแออัด
3) เรื่องการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า(C/O) ของประเทศเพื่อนบ้าน ได้มีการเอาระบบดิจิทัลมาช่วย แต่ยังมีบางประเทศที่ยังติดขัด โดยได้รับการแก้ไขแล้ว 5 ประเทศได้แก่ กัมพูชา เวียดนาม อินโดนีเซีย สปป.ลาว และเมียนมา ที่เหลืออยู่คือฟิลิปปินส์ ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการแก้ไข
4)มีการขอสนับสนุนงบประมาณปรับปรุงเส้นทาง R12(นครพนม-คำม่วน-นำเพ้า) ใน สปป.ลาว ซึ่งทางสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ. หรือ NEDA) อยู่ระหว่างเสนอ ครม. พิจารณาเนื่องจากทางเป็นหลุมเป็นบ่อ จึงเสนอปรับปรุงเส้นทางเพื่อให้เราได้ประโยชน์ในการดำเนินการต่อไป
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ระบุเพิ่มเติมว่า การทำงานร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เรื่องจัดตั้งศูนย์บริการค้าชายแดนเบ็ดเสร็จจุดเดียว (One Stop Service: OSS) ใน 8 จังหวัดภายในเดือนธันวาคม 2566 ได้แก่ เชียงราย ตาก ตราด สงขลา หนองคาย นครพนม มุกดาหาร และอุดรธานี ซึ่งเป็นผลงานร่วมกันของทุกหน่วยงาน ทั้งกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและกระทรวงพาณิชย์ คาดว่าจะแถลงความสำเร็จก่อนสิ้นปี ประมาณวันที่ 25 ธ.ค.นี้
“โดยให้ภาคเอกชนจะเป็นทัพหน้าเป็นกำลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยรวม รู้และเข้าใจปัญหาโดยรวม รัฐเป็นผู้สนับสนุนคอยแก้ไขกฎระเบียบต่างๆ ที่จะเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินกิจการ” รองนายกฯกล่าว
ดร.ชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เรื่อง One Stop Service ภาคเอกชนดีใจและขอบคุณทางภาครัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และกรมการค้าต่างประเทศที่ทำให้ Quick Win เกิดขึ้นแล้วจริงๆ ทั้งเรื่องเวลาและค่าใช้จ่าย จะลดลง ลดการรอคอย และสินค้าเกษตรจะได้อานิสงส์อย่างมาก ถ้าเร็วความสดและการส่งมอบถึงมือลูกค้าจะเร็วขึ้น ภาคเอกชนดีใจที่ทำให้เกิดผลได้เร็ว หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีการขยายอย่างต่อเนื่องต่อไป
ข้อมูลจากกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ตัวเลขการค้าชายแดนและการค้าผ่านแดน ปี 2566 (เดือนมกราคม-ตุลาคม 2566) มีมูลค่าการค้าชายแดนและผ่านแดน 1,451,068 ล้านบาท แบ่งเป็นการส่งออกมูลค่า 825,248 ล้านบาท และการนำเข้ามูลค่า 625,820 ล้านบาท โดยไทยได้ดุลการค้า 199,427 ล้านบาท และล่าสุดเดือนตุลาคม 2566 มีมูลค่าการค้าชายแดนและผ่านแดน 139,695 ล้านบาท แบ่งเป็นการส่งออกมูลค่า 70,042 ล้านบาท และการนำเข้ามูลค่า 69,653 ล้านบาท โดยไทยได้ดุลการค้าในเดือนตุลาคม 2566 ทั้งสิ้น 389 ล้านบาท