‘สุริยะ’ ดันตั้งกองทุนตั๋วร่วมต้นปีหน้า หนุนนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายทุกเส้นทางเกิดภายใน 2 ปี พร้อมเร่งศึกษาโมเดลหางบ 7 – 8 พันล้านบาทจ่ายชดเชยเอกชน เล็งขอเงินสนับสนุนกองทุนอนุรักษ์พลังงาน ย้ำ’แลนด์บริดจ์’ ยังเป็นพระเอกขับเคลื่อนการลงทุน จ่อโรดโชว์ต่อเนื่องจีน – ตะวันออกกลาง ก่อนเปิดประมูลปี 68
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม เปิดเผยถึงความคืบหน้าการขับเคลื่อนนโยบายปรับลดอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุดไม่เกิน 20 บาท หรือนโยบายค่ารถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย โดยระบุว่า ขณะนี้ได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่เมื่อวันที่ 16 ต.ค. 2566 ที่ผ่านมา ใน 2 โครงการ คือ โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน – คลองบางไผ่ และโครงการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ – รังสิต และช่วงบางซื่อ – ตลิ่งชัน ซึ่งถือเป็นนโยบาย Quick Win นโยบายแรกของรัฐบาล
นายสุริยะ กล่าวว่า ส่วนการประกาศใช้มาตรการดังกล่าวในโครงการรถไฟฟ้าในเส้นทางอื่นๆ นั้น ปัจจุบันกระทรวงคมนาคม อยู่ระหว่างการหารือและพิจารณาร่วมกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งคาดว่าจะสามารถเปิดให้ใช้บริการรถไฟฟ้าทุกสายอัตราค่าโดยสาร 20 บาทตลอดสายได้ตามเป้าหมายภายใน 2 ปีหลังจากนี้ เนื่องจากปัจจุบันกระทรวงฯ อยู่ระหว่างผลักดัน พรบ.ตั๋วร่วม และคาดว่าจะเสนอเข้าสู่การพิจารณาในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้ภายในไตรมาส 1 ปีหน้า
อย่างไรก็ตาม การผลักดันนโยบายดังกล่าวให้เกิดขึ้นกับรถไฟฟ้าที่มีสัญญาสัมปทานร่วมกับเอกชน นอกจากต้องใช้ พรบ.ตั๋วร่วมเพื่อขับเคลื่อนแล้ว ยังมีความจำเป็นต้องชดเชยส่วนต่างที่หายไป เพื่อไม่ให้กระทบต่อสัญญาสัมปทาน ดังนั้นกระทรวงฯ จึงอยู่ระหว่างศึกษาแนวทางที่จะนำเงินไปจ่ายชดเชยเอกชน โดยเบื้องต้นจะจัดตั้งกองทุนตั๋วร่วมที่นำเงินมาจากหลายส่วนที่เกี่ยวข้อง อาทิ ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนอนุรักษ์พลังงาน และการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาล
รวมไปถึงการระบุใน พรบ.ตั๋วร่วม เกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตรน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น อาทิ ในอัตรา 50 สตางค์ เฉพาะสถานีน้ำมันในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เพื่อนำเงินสนับสนุนเข้ากองทุน ซึ่งอาจจะส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้น แต่สามารถจูงใจประชาชนให้เดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะ โดยเฉพาะรถไฟฟ้าที่จะปรับราคาลงเหลือ 20 บาทตลอดสาย ทำให้ต้นทุนค่าครองชีพของประชาชนปรับลดลง
นายสุริยะ กล่าวต่อว่า เบื้องต้นกระทรวงฯ ประเมินวงเงินที่ใช้หมุนเวียนในกองทุนตั๋วร่วมเพื่อชดเชยส่วนต่างค่าโดยสารรถไฟฟ้าอยู่ที่ 7 – 8 พันล้านบาทต่อปี ซึ่งมั่นใจว่าแนวทางที่อยู่ระหว่างศึกษาขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนอนุรักษ์พลังงานมีความเป็นไปได้ เนื่องจากเป็นโมเดลที่หลายประเทศใช้กัน อีกทั้งจากการตรวจสอบพบว่าการนำเงินจากกองทุนดังกล่าวมาสนับสนุนไม่ขัดต่อหลักการของการจัดตั้งกองทุน เนื่องจากบริการรถไฟฟ้านับเป็นบริการที่เข้าข่ายอนุรักษ์พลังงาน
นายสุริยะ กล่าวต่อว่าโครงการลงทุนในปี 2567 ขณะนี้ต้องยอมรับว่าช่วงครึ่งปีแรก ระหว่าง ม.ค. – พ.ค. 2567 จะยังไม่สามารถผลักดันการลงทุนที่ใช้งบประมาณประจำปี 2567 ได้ เนื่องจากปัจจุบันงบประมาณดังกล่าวยังไม่ได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งคาดการณ์ว่าจะสามารถเสนอตามขั้นตอนและได้รับการอนุมัติในเดือน พ.ค.ปีหน้า
อย่างไรก็ตามดังนั้นโครงการลงทุนที่ต้องจัดใช้งบประมาณประจำปี 2567 โดยเฉพาะโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของกรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท และการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) จะยังไม่สามารถเดินหน้าได้ แต่อย่างไรก็ดี กระทรวงฯ ได้วางแผนเร่งรัดการดำเนินงาน โดยสั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำร่างเอกสารประกวดราคา (TOR) หากงบประมาณผ่านการอนุมัติจะต้องสามารถเริ่มกระบวนการประมูลและลงนามสัญญาได้โดยเร็ว
“ปีหน้ามีโครงการลงทุนสำคัญของกระทรวงฯ 72 โครงการที่จะต้องเร่งรัดการลงทุน โดยแม้ว่างบประมาณปี 2567 จะดีเลย์ออกไป แต่กระทรวงฯ ได้กำชับทุกหน่วยงานให้เตรียมพร้อมประมูล และจัดซื้อจัดจ้าง หากงบประมาณได้รับจัดสรรแล้ว จะต้องเดินหน้าทันที เพื่อเป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจจากการลงทุนภาครัฐ เพราะปัจจุบันเชื่อว่าเอกชนก็พร้อมประมูลงาน”นายสุริยะ กล่าว
นายสุริยะ กล่าวด้วยว่า แม้ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 จะยังไม่สามารถผลักดันการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานได้จากการจัดใช้งบประมาณที่ล่าช้า แต่กระทรวงฯ ยังคงมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่มีความพร้อมจากการจัดใช้เงินลงทุนในรูปแบบอื่นๆ อาทิ การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (พีพีพี) และเงินจากกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (TFFIF) ซึ่งขณะนี้มีโครงการที่พร้อมเปิดประกวดราคา ได้แก่ โครงการทางพิเศษฉลองรัช ช่วงจตุโชติ-ลำลูกกา ระยะทาง 16.2 กิโลเมตร วงเงินลงทุน 2.4 หมื่นล้านบาท