ศกอ.ร้อยเอ็ด ทำเกษตรผสมผสานประสบผลสำเร็จ แนะทำนาเปียกสลับแห้ง (แกล้งข้าว) ลดการใช้น้ำ เพิ่มผลผลิตต่อไร่สูงถึง 1,100 กิโลกรัม/ไร่/ปี
ดร.นพดล ศรีพันธุ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 4 ขอนแก่น (สศท.4) สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยว่า การทำเกษตรผสมผสานเป็นระบบการเกษตรที่มีการปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์หลายชนิดในพื้นที่เดียวกันโดยที่กิจกรรมแต่ละชนิดเกื้อกูลกันอย่างเป็นวงจร ก่อให้เกิดประโยชน์และประสิทธิภาพสูงสุดต่อระบบฟาร์ม
ซึ่งระบบเกษตรผสมผสานจะประสบผลสำเร็จได้ ต้องมีการวางรูปแบบและดำเนินการโดยให้ความสำคัญต่อกิจกรรมแต่ละชนิดอย่างเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมทางกายภาพเศรษฐกิจ สังคม มีการใช้แรงงาน เงินทุน ที่ดิน ปัจจัยการรผลิตและทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ
จากตัวอย่างของเศรษฐกิจการเกษตรอาสา (ศกอ.) จังหวัดร้อยเอ็ด คือ นายวิชัย ทวินันท์ ประธานศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) เมืองสรวง ตำบลหนองหิน อำเภอเมืองสรวง และเป็นประธานศูนย์ข้าวชุมชน ได้รับรางวัลผู้ทำคุณประโยชน์ด้านเศรษฐกิจการเกษตรดีเด่นประจำปี 2560 ของมูลนิธิดร.สมนึก ศรีปลั่ง
นับเป็นอีกหนึ่งเกษตรกรตัวอย่างที่มีความมุ่งมั่นในการทำเกษตรผสมผสานจนประสบผลสำเร็จ ได้รับมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ Organic Thailand และพัฒนาสถานที่พักอาศัยเป็นศูนย์เครือข่ายปราชญ์ชาวบ้านเพื่อให้ความรู้และคำแนะนำแก่เกษตรกรมาจนปัจจุบัน
ซึ่ง สศท.4 ได้ลงพื้นที่และสัมภาษณ์นายวิชัย บอกเล่าว่า ตนได้เริ่มต้นทำเกษตรผสมผสาน ตั้งแต่ปี 2547 โดยมีแนวคิดที่ต้องการเปลี่ยนจากการทำเกษตรแบบใช้สารเคมี มาเป็นเกษตรอินทรีย์ ปัจจุบันมีการปลูกพืชแบบผสมผสานบนพื้นที่ 7 ไร่ โดยแบ่งเป็น นาข้าวอินทรีย์ จำนวน 2 ไร่ ไม้ผลและไม้ยืนต้น จำนวน 2 ไร่ ได้แก่ มะม่วงน้ำดอกไม้ ต้นประดู่ ต้นพะยูง และต้นยางนา ปศุสัตว์ จำนวน 1 ไร่ ได้แก่ หมูป่า เป็ดไข่ ไก่ไข่ และไก่เนื้อ และสระน้ำ จำนวน 2 ไร่ เพาะเลี้ยงปลาตะเพียน ปลาบึก ปลาไน
สำหรับกิจกรรมทางการเกษตรที่น่าสนใจและสร้างรายได้ให้แก่นายวิชัย คือ การทำนาข้าวอินทรีย์ พันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 โดยใช้วิธีการทำนาแบบเปียกสลับแห้ง (แกล้งข้าว) หรือ เรียกว่าการทำนาแบบใช้น้ำน้อย ซึ่งเป็นวิธีการบริหารจัดการน้ำในการทำนาโดยไม่ส่งผลกระทบต่อผลผลิตข้าว
ซึ่งในช่วงแรกที่ปักดำจะทำการขังน้ำไว้ในนาข้าวก่อนเพื่อคลุมไม่ให้มีหญ้าในนาข้าวและให้ต้นข้าวฟื้นตัวหลังจากนั้นจะปล่อยให้น้ำแห้ง แล้วจึงให้น้ำด้วยระบบสปริงเกอร์ในกรณีที่ฝนทิ้งช่วงทำไปจนถึงช่วงที่ข้าวออกรวง ช่วยกระตุ้นให้รากและลำต้นของต้นข้าวแข็งแรงขึ้น เนื่องจากดินและรากได้รับอากาศ
ทำให้สามารถดูดปุ๋ยได้ดีขึ้น ลดการใช้ปุ๋ย ต้นข้าวแข็งแรง ลดการระบาดของโรคแมลง และสามารถลดปริมาณการใช้น้ำได้มากถึงร้อยละ 30 - 45 ของปริมาณน้ำที่ใช้ในการทำนาแบบทั่วไป รวมทั้งให้ผลผลิตที่สูงกว่า