ปากเสียงของคนท้องถิ่น เพื่อการพัฒนาประเทศ
ธรรมาภิบาล ย้อนกลับ
ดีเอสไอมีมติกล่าวหาอดีต 2 รมต. 2ผู้บริหารระดับสูง ก.แรงงาน เอี่ยวค้ามนุษย์
11 ม.ค. 2567

"ดีเอสไอ" มีมติให้กล่าวหา อดีต 2 รัฐมนตรี และผู้บริหารระดับสูง กระทรวงแรงงาน 2  คน ในความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ กรณี พบหลักฐานเกี่ยวข้องขบวนการส่งแรงงานไทยเป็นเหยื่อค้ามนุษย์ในสาธารณรัฐฟินแลนด์ เสียหาย 36 ล้านบาท

วันที่ 11มกราคม 2567 คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ นำโดยกองคดีการค้ามนุษย์  กรมสอบสวนคดีพิเศษ และพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด ในฐานะพนักงานอัยการที่อัยการสูงสุดมอบหมายให้ร่วมสอบสวน มีมติร่วมกันให้กล่าวหากับอดีตข้าราชการฝ่ายการเมืองระดับรัฐมนตรี 2 คน และผู้บริหารระดับสูง กระทรวงแรงงาน อีก 2  คน รวมทั้งหมด 4 คน ในความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 และมาตรา 157 ประกอบมาตรา 83 และมาตรา 86 โดยจะเร่งสรุปสำนวนการสอบสวนส่งสำนักงาน ป.ป.ช. เพื่อดำเนินการตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ต่อไป

กรณีดังกล่าวสืบเนื่องจาก กรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยกองคดีการค้ามนุษย์ ได้ทำการสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษที่ 81/2566 เนื่องจากกรมสอบสวนคดีพิเศษได้รับหนังสือจากกระทรวงการต่างประเทศ เรื่องแรงงานไทยเป็นเหยื่อค้ามนุษย์ในสาธารณรัฐฟินแลนด์ โดยกระทรวงการต่างประเทศ ร่วมกับสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเฮลซิงกิ ได้ให้ความช่วยเหลือแรงงานไทยในสาธารณรัฐฟินแลนด์ที่เดินทางไปทำงานเก็บผลไม้ป่าอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่ตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ในการเดินทางกลับประเทศไทย

พบความผิดเกิดนอกราชอาณาจักร-ส่ง อสส. สอบสวน

ซึ่งคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษพบว่าเป็นคดีความผิดที่ส่วนหนึ่งเกิดนอกราชอาณาจักร จึงเสนอสำนวนการสอบสวนไปยังอัยการสูงสุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 20 และอัยการสูงสุดได้มอบหมายให้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษทำการสอบสวนต่อไป และอัยการสูงสุดได้มอบหมายพนักงานอัยการมาร่วมสอบสวน ซึ่งมีการขอความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญาเพื่อรวบรวมพยานหลักฐานจากสาธารณรัฐฟินแลนด์ในความผิดฐานค้ามนุษย์ ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 และที่แก้ไขเพิ่มเติม

โดยต่อมาทางการสาธารณรัฐฟินแลนด์ได้ส่งพยานหลักฐานสำคัญตามที่ทางการไทยร้องขอให้กับกรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยจากการสอบสวนของคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษร่วมกับพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด และพยานหลักฐานที่ได้จากความร่วมมือระหว่างประเทศกับเจ้าหน้าที่ตำรวจสาธารณรัฐฟินแลนด์ ปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีขบวนการสมคบระหว่างนักการเมือง เจ้าหน้าที่รัฐ และบุคคลธรรมดา

ชี้ร่วมกันเรียกผลประโยชน์

ร่วมกันเรียกรับผลประโยชน์จากบริษัทผู้ประสานงานฝั่งไทยที่ทำหน้าที่ประสานงานกับบริษัทที่จะนำเข้าแรงงานของสาธารณรัฐฟินแลนด์ เป็นค่า “หัวคิว” (DOE MAMAGEMENT) หรือค่าดำเนินการ เฉลี่ยรายละ 3,000 บาท โดยไม่มีสิทธิเรียกเก็บตามกฎหมาย ซึ่งบริษัทประสานงานฝั่งไทยได้นำมาเรียกเก็บจากคนงานที่ไปทำงานอีกชั้นหนึ่งนอกเหนือจากค่าใช้จ่ายตามจริง โดยในปี พ.ศ. 2563 - พ.ศ. 2566

โดยเป็นช่วงดำเนินคดี มีผู้อยู่ในข่ายต้องเสียค่าใช้จ่ายดังกล่าว รวมประมาณ 12,000 คน คิดเป็นเงินรวมประมาณ 36 ล้านบาท ซึ่งคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษและพนักงานอัยการ ได้มีมติกล่าวหาบุคคลดังกล่าว รวม 4 คน และจะนำส่งสำนวนคดีพิเศษดังกล่าว ต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป

“การป้องกันและปราบปรามการทุจริตเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลและกระทรวงยุติธรรม กรมสอบสวนคดีพิเศษในฐานะหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของกระทรวงยุติธรรม ที่มีหน้าที่ปราบปรามอาชญากรรมพิเศษ ต้องมีบทบาทในเรื่องนี้อย่างจริงจัง ยิ่งเป็นกรณีที่เกี่ยวข้องกับขบวนการค้ามนุษย์ ยิ่งต้องให้ความสำคัญเพราะกระทบต่อสิทธิมนุษยชนอันเป็นสิทธิพื้นฐานที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยรับรองไว้ จึงไม่ควรมีนักการเมือง หรือผู้บริหารระดับสูงของภาครัฐเข้าไปเกี่ยวข้อง แม้จะเป็นคดีที่อยู่ในหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช.  DSI ก็ควรต้องช่วยเหลือและสนับสนุนกรปฏิบัติงานของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตามอำนาจหน้าที่ เพื่อทำความจริงให้ปรากฏ”

หนังสือพิมพ์ OPT NEWS ONLINE
วันที่ 16 - 30 พฤศจิกายน 2567
อปท.นิวส์เชิญเป็นแขก ดูทั้งหมด
12 ก.ย. 2567
กล่าวได้ว่าบทบาทของตำรวจไทยทั้งในอดีตและปัจจุบัน หลายท่านหลายคน หลังจากผ่านความเหน็ดเหนื่อย ความยากลำบากในการผดุงความยุติธรรม ไล่จับคนร้ายทั้งตัวใหญ่ตัวเล็กมาตลอดชีวิตราชการ เห็นความทุกข์ยาองประชาชน เห็นปัญหาของสังคมในทุกแง่มุม อดไม่ได้ที่หลังเกษียณจะก้าวเข้าส...