สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) นำคณะลงพื้นที่ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนร่วมใจโนนค้อทุ่ง ต.โพนเมืองน้อย อ.หัวตะพาน จ.อำนาจเจริญ เยี่ยมชมความสำเร็จ โครงการการขยายผลเทคโนโลยีการผลิตถั่วเขียวคุณภาพสายพันธุ์ KUML ด้วยกลไกตลาดนำการผลิต เป็นโครงการที่ได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) หรือ สวก. ปีงบประมาณ 2566
นางสาววิราภรณ์ มงคลไชยสิทธิ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. โดยสถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) ได้สนับสนุนทุนวิจัยให้ ศาสตราจารย์ ดร.พีระศักดิ์ ศรีนิเวศน์ และ รศ.ดร.ประกิจ สมท่า จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิจัยและพัฒนาพันธุ์ถั่วเขียวจนได้สายพันธุ์ KUML#1-5 และ 8 ที่มีลักษณะเด่น คือ เมล็ดขนาดใหญ่ สุกแก่เร็ว ให้ผลผลิตได้สูงถึง 300 กิโลกรัม (กก.) /ไร่ ที่สำคัญต้านทานโรคราแป้งและใบจุดได้ดี นอกจากนี้ สวทช. ยังได้ร่วมมือกับ รศ.ดร.ประกิจ สมท่า และ ผศ.ดร.กนกวรรณ เที่ยงธรรม ภาควิชาพืชไร่นา คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (วิทยาเขตกำแพงแสน) จ.นครปฐม ขยายผลการผลิตถั่วเขียว KUML ด้วยความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้เกษตรกรทั่วประเทศ เพื่อพัฒนากลุ่มผู้ผลิตถั่วเขียวให้มีผลผลิตสูงและมีคุณภาพตรงกับความต้องการของตลาดถั่วเขียวทั้งในและต่างประเทศ โดยใช้กลไกตลาดนำการผลิต (Inclusive Innovation) เพื่อแก้ปัญหาของเกษตรกรผู้ปลูกถั่วเขียวในประเทศไทย เรื่องการขาดแคลนเมล็ดพันธุ์ (seed) คุณภาพดีเกษตรกรขาดความรู้ที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ และปัญหาเรื่องตลาดรับซื้อผลผลิต
ปัจจุบันเกษตรกรนิยมนำถั่วเขียว KUML ไปปลูกเป็นพืชหลังนาเพื่อปรับปรุงดิน เนื่องจากพืชตระกูลถั่วมีคุณสมบัติพิเศษ ในการตรึงธาตุไนโตรเจนลงสู่ดิน อันเป็นธาตุอาหารที่ต้นข้าวต้องการ ทั้งยังช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตสร้างรายได้ให้กับเกษตรกร ซึ่งเป็นนโยบายเร่งด่วนของ นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. ที่ต้องทำทันที คือ การนำนวัตกรรมมาแก้ไขปัญหาของพี่น้องประชาชน อาทิ การจัดการภัยแล้ง และนวัตกรรมแก้จน เป็นต้น รวมถึงการพัฒนาเชิงพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นการลดความเหลื่อมล้ำ การขับเคลื่อนระเบียงเศรษฐกิจภูมิภาค และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy)
นางสาวณิฎฐา คุ้มโต นักวิชาการอาวุโส ฝ่ายถ่ายทอดเทคโนโลยี สท. สวทช. กล่าวอธิบายว่า ด้วยประเทศไทยประสบภาวะสภาพภูมิอากาศแห้งแล้ง ขาดแคลนน้ำ รัฐบาลส่งเสริมให้ลดการทำนาปรัง โดยให้ปลูกพืชทนแล้งหรือพืชที่ใช้น้ำน้อยทดแทนการทำนาปรัง พืชตระกูลถั่วนับเป็นพืชที่มีความสำคัญ เพราะเป็นพืชอายุสั้น ใช้น้ำน้อย ช่วยตัดวงจรชีวิตโรคแมลงในพื้นที่นาข้าว และช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้กับดิน
นอกจากนี้พืชตระกูลถั่วยังเป็นพืชที่มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งใช้ในการบริโภคและเป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมแปรรูปต่างๆ แต่ผลผลิตพืชตระกูลถั่วในประเทศมีไม่เพียงพอ ต้องมีการนำเข้าจากต่างประเทศปีละหลายหมื่นล้านบาท เนื่องจากพื้นที่การเพาะปลูกมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง โดยในปี 2566 พบว่าประเทศไทยมีพื้นที่เพาะปลูกถั่วเหลือง ถั่วเขียว และถั่วลิสง จำนวน 81,190 ไร่ 713,437 ไร่ และ 71,088 ไร่ ปริมาณผลผลิต 22,252 ตัน 108,467 ตัน 25,652 ตัน และปริมาณการนำเข้า 2,684 ตัน 33,472 ตัน และ 9,943 ตัน ตามลำดับ
ทั้งนี้ในด้านเศรษฐกิจของประเทศ ถั่วเขียวถือเป็นวัตถุดิบสำคัญที่ใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร ทั้งวุ้นเส้น ไส้ขนม ขนมหวาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหาร Plant-Based ที่ผู้บริโภคทั่วโลกมีแนวโน้มบริโภคโปรตีนจากพืชมากขึ้น เพราะถั่วเขียวมีโปรตีนสูง จึงเป็นวัตถุดิบตั้งต้นที่สำคัญของอาหารแห่งอนาคตนี้
จากปัญหาและความต้องการข้างต้น ฝ่ายถ่ายทอดเทคโนโลยี สท. สวทช. ร่วมกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กำแพงแสน และกรมส่งเสริมการเกษตร ขยายผลถั่วเขียวสายพันธุ์ KUML โดย ทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ สถาบันการศึกษา และใช้กลไก “ตลาดนำการผลิต” ดำเนินงานร่วมกับภาคเอกชน บริษัท กิตติทัต จำกัด ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญในการผลักดันและยกระดับกลุ่มเกษตรกรในการบริหารจัดการ กำหนดมาตรฐานและราคาถั่วเขียว KUML รับซื้อผลผลิตถั่วเขียวปลอดภัย ในจังหวัดสุพรรณบุรี จังหวัดสุรินทร์ และจังหวัดศรีสะเกษ โดยปริมาณความต้องการผลผลิตถั่วเขียวเพื่อแปรรูปเป็นถั่วกะเทาะซีก ปีละ 4,000 ตัน
และบริษัท ข้าวดินดี จำกัด รับซื้อผลผลิตถั่วเขียวอินทรีย์ ในจังหวัดอำนาจเจริญ โดยปริมาณความต้องการผลผลิตถั่วเขียวเพื่อแปรรูปเป็นพาสต้าถั่วเขียวอินทรีย์ ปีละ 20 ตัน ในการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตถั่วเขียว KUML จะดำเนินงานร่วมกับสำนักงานเกษตรจังหวัด หรือกรมส่งเสริมการเกษตรในพื้นที่ โดยมีการพัฒนาต้นแบบเกษตรกร แปลงเรียนรู้ และพื้นที่ต้นแบบการผลิตเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวในระดับชุมชน มุ่งหวังการสร้างกลุ่มผู้ผลิตถั่วเขียวสามารถป้อนถั่วเขียวเข้าโรงงานอุตสาหกรรมที่มีผลผลิตสูง (Grain) ตรงกับความต้องการของตลาด และสร้างกลุ่มผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวระดับชุมชน (Seed) สามารถลดการขาดแคลนเมล็ดพันธุ์ดีมีคุณภาพ เพื่อให้เกิดความยั่งยืนในการดำเนินงาน
นายอดุลย์ โคลนพันธ์ เกษตรกรแกนนำ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนร่วมใจโนนค้อทุ่ง ต.โพนเมืองน้อย อ.หัวตะพาน จ.อำนาจเจริญ กล่าวว่า กลุ่มเกษตรกรปลูกถั่วเขียว KUML ซึ่งเป็นพืชหลังนามีรายได้เพิ่มขึ้นจากเดิมเท่าตัว จากเดิมปลูกถั่วเขียวพันธุ์ทั่วไป เหลือขายเล็กน้อยมีรายได้เฉลี่ยต่อไร่เพียง 1,500 บาท เมื่อได้เรียนรู้กระบวนการปลูกและองค์ความรู้จาก สวทช. และ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งเข้ามาถ่ายทอดขยายผลเทคโนโลยีการผลิตถั่วเขียวคุณภาพสายพันธุ์ KUML แบบครบวงจร ตั้งแต่การปลูก การดูแล และการเก็บเกี่ยว ทำให้ผลผลิตที่ได้เพิ่มขึ้นเท่าตัวมีรายได้เฉลี่ย 3,000 บาทต่อไร่ ซึ่งถือว่ามีรายได้เพิ่มจากการเก็บเกี่ยวข้าวพักแปลงนา
เกษตรกรแกนนำ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนร่วมใจโนนค้อทุ่ง กล่าวต่อว่า ตลอดระยะเวลา 2 เดือนที่เกษตรกรปลูกถั่วเขียวเป็นพืชหลังนา (มกราคม-กุมภาพันธ์ของทุกปี) นอกจากจะมีรายได้เพิ่มขึ้นแล้ว สภาพดินก็ดีขึ้น ส่งผลให้การปลูกข้าวในรอบฤดูปลูกถัดไป มีผลผลิตเพิ่มขึ้นและคุณภาพดีขึ้นต่อเนื่อง และลดการใส่ปุ๋ยในนาข้าวได้เกินครึ่ง โดยมีภาคเอกชนอย่าง บริษัท ข้าว ดิน ดี จำกัด รับซื้อผลผลิตถั่วเขียวจากเกษตรกรในจังหวัดอำนาจเจริญ ซึ่งเป็นแหล่งปลูกถั่วเขียวอินทรีย์สายพันธุ์ KUML ในราคากิโลกรัมละ 40 บาท ไปผลิตและแปรรูปเป็นพาสต้าออร์แกนิกส่งขายทั้งในและต่างประเทศ และกลุ่มยังสามารถขายเมล็ดถั่วเขียว (grain) ให้กับผู้บริโภคภายใต้บริษัท บ้านต้นข้าว จำกัด ของกลุ่มในราคากิโลกรัมละ 80 บาท และที่สำคัญกลุ่มสามารถเก็บเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียว (seed) ไว้ใช้เอง เพื่อนำต้นทุนการซื้อเมล็ดพันธุ์ในการปลูกฤดูกาลถัดไป และเกิดความยั่งยืน
นายอดุลย์ กล่าวอีกว่า สำหรับการปลูกถั่วเขียวหลังนา จากในกลุ่มที่มีสมาชิกกว่า 40 ราย และรวมทั้งจังหวัดกว่า 200 ราย ทุกที่ต้องการเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวจากเรา อยากได้มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ แต่ขั้นตอนการตรวจสอบกว่าจะได้มามันยุ่งยาก เราก็ท้อแต่เมื่อเราอยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง ทุกอย่างที่ทำจึงมาจากใจรักจริงๆ เริ่มรวมตัวกันทำ จากคน 10-20 คนในหมู่บ้าน จนกลายเป็นกลุ่มวิสาหกิจชุมชนที่เข้มแข็ง มีทรัพย์สินที่เป็นทื่ดิน เครื่องจักรการเกษตร เครื่องจักรสำหรับการเก็บเกี่ยว โรงเก็บผลผลิตที่มีมาตรฐานรวมกันนับสิบล้านบาท
"ถั่วเขียว KUML จากงานวิจัยขอแง ม.เกษตร เราเจอคู่ค้าจากการขายข้าวอินทรีย์ พอมีถั่วเขียวในมือทำให้เราเห็นเข้าหมายไม่ใช่แค่ปลูกบำรุงดิน เอาไปทำปุ๋ยพืชสด แต่ด้วยสภาพอากาศและดินของอำนาจเจริญ ทำให้ความชื้นในดิน และในอากาศมี จึงปลูกถั่วเขียวได้แบบที่ไม่ต้องรดน้ำ อาศัยเพียงน้ำค้างที่มากับลมหนาว การปลูกถั่วทำให้ดินทรายของที่นี่อุดมสมบูรณ๋ ปลูกข้าวได้ผลผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 500-600 กก.ต่อไร่ ต่างจากเดิมที่เป้นการทำนาแบบใช้สารเคมีจะได้ผลผลิตที่ 200-300 กก.ต่อไร่ วันนี้ครอบครัวเรากลับมาอยู่พร้อมหน้า ทั้งนี้ใน 1 ปีเราทำนาปีแล้วจากนั้นก็ปลูกถั่วเขียวหลังทำนา" เกษตรกรแกนนำ กล่าว