คลัง เผยเศรษฐกิจไทยเดือนก.พ.2567 มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นจากภาคส่งออกขยายตัวต่อเนื่องเดือนที่ 7 รวมทั้งการขยายตัวภาคท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่องทั้งต่างชาติ และชาวไทย ขณะที่การบริโภค และลงทุนภาคเอกชนยังมีสัญญาณทรงตัวจากเดือนก่อน
นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนก.พ. 2567 ว่า สถานการณ์เศรษฐกิจไทยมีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นจากการส่งออกสินค้าที่ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 จำนวนนักท่องเที่ยวที่ขยายตัวต่อเนื่องทั้งนักท่องเที่ยวต่างประเทศ และผู้เยี่ยมเยือนชาวไทย ขณะที่การบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนมีสัญญาณทรงตัวจากเดือนก่อน ทั้งนี้ ยังคงต้องติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจทั้งภายใน และภายนอกประเทศที่ส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตของไทยอย่างใกล้ชิดต่อไป
ทั้งนี้ เสถียรภาพเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนก.พ.2567 อยู่ที่ติดลบ 0.77% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 0.43% ส่วนสัดส่วนหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนมกราคม 2567 อยู่ที่ 62.2% ต่อ GDP ซึ่งยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังที่ตั้งไว้ตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561
สำหรับเสถียรภาพภายนอกยังอยู่ในระดับที่มั่นคง และสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ สะท้อนจากทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนก.พ.2567 อยู่ในระดับสูงที่ 251.8 พันล้านดอลลาร์
โดยเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชน มีสัญญาณทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า ประกอบด้วย ภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ระดับราคาคงที่ ในเดือนก.พ.2567 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 5.7% และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ 5.7%
ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ในเดือนก.พ.2567 ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 63.8 จากระดับ 62.9 ในเดือนก่อน ซึ่งเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 และสูงสุดในรอบ 48 เดือน สะท้อนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคต่อภาวะเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง
อย่างไรก็ดี การบริโภคในหมวดสินค้าคงทน สะท้อนจากปริมาณจำหน่ายรถยนต์นั่ง และยอดรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ ในเดือนก.พ.2567 ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 20.1% และ 10.0% ตามลำดับ และรายได้เกษตรกรที่แท้จริง ในเดือนก.พ.2567 ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 1.7%
สำหรับเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชน มีสัญญาณทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า โดยการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากปริมาณการนำเข้าสินค้าทุน ในเดือนก.พ.2567 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 27.1% และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ 16.4%
ขณะที่ปริมาณจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ ในเดือนก.พ.2567 ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 29.4% สำหรับการลงทุนในหมวดการก่อสร้าง สะท้อนจากปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ภายในประเทศ ในเดือนก.พ.2567 ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน 7.7% และลดลง เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล 0.5% ขณะที่ภาษีจากการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 15.4%
ด้านมูลค่าการส่งออกสินค้าขยายตัวต่อเนื่องจากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยมูลค่าการส่งออกสินค้ารวมในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ในเดือนก.พ.2567 อยู่ที่ 23,384.9 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 3.6% และหากพิจารณาเฉพาะมูลค่าการส่งออกสินค้าที่ไม่รวมน้ำมัน และสินค้าที่เกี่ยวเนื่อง ทองคำ และยุทธปัจจัย พบว่า เพิ่มขึ้น 2.3% ซึ่งเป็นการขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7
ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการขยายตัวของสินค้าในหมวดหม้อแปลงไฟฟ้า และส่วนประกอบ 35.0% หมวดเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ 24.9% และหมวดเหล็ก เหล็กกล้า และผลิตภัณฑ์ 18.0% รวมถึงการขยายตัว สินค้าข้าว 53.6% ยางพารา 31.7% นมและผลิตภัณฑ์จากนม 26.5% และอาหารสัตว์เลี้ยง 21.5%
อย่างไรก็ดี การส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ และน้ำตาลทราย ชะลอตัว
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกสินค้า โดยจำแนกเป็นรายตลาดคู่ค้าหลักของไทย พบว่า ปรับตัวดีขึ้นในตลาดทวีปออสเตรเลีย สหรัฐ และอินโดจีน-4 รวมทั้งกลุ่มตลาดอื่นๆ อาทิ ตลาดรัสเซีย และกลุ่มประเทศเครือรัฐเอกราช (Commonwealth of Independent States: CIS)
สำหรับเครื่องชี้เศรษฐกิจไทยด้านอุปทาน ภาคบริการมีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยภาคบริการด้านการท่องเที่ยว ในเดือนก.พ.2567 มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยรวม จำนวน 3.35 ล้านคน คิดเป็นอัตราการขยายตัวต่อเนื่องจากช่วงเดียวกันปีก่อน 58.6% และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล 39.7%
โดยส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจากจีน มาเลเซีย รัสเซีย เกาหลีใต้ และอินเดีย เช่นเดียวกับการท่องเที่ยวภายในประเทศที่มีผู้เยี่ยมเยือนชาวไทย ในเดือนก.พ.2567 จำนวน 22.2 ล้านคน คิดเป็นอัตราการขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อน 9.1% และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล 6.9%
ขณะที่ภาคการเกษตร สะท้อนจากดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรกรรม ในเดือนก.พ.2567 ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 7.5% และลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล 0.6% จากการลดลงของผลผลิตในหมวดพืชผลสำคัญ อาทิ ยางพารา มันสำปะหลัง และปาล์มน้ำมัน อย่างไรก็ดี ข้าวโพด ยังคงขยายตัว
สำหรับภาคอุตสาหกรรม สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ในเดือนก.พ.2567 ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 90.0 จากระดับ 90.6 ในเดือนก่อนหน้า โดยได้รับปัจจัยกดดันจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ และเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าหลักของไทย