กกร.แนะรัฐกระตุ้นเศรษฐกิจ เร่งงบปนะมาณ-ลดดอกเบี้ย รับมือเศรษฐกิจเสี่ยงโตต่ำลง จากปัญหาเชิงโครงสร้างที่กระทบต่อการผลิตและการส่งออก รับปัญหาภูมิรัฐศาสตร์มีแนวโน้มทวีความรุนแรง คงศก.โต2.8-3.3%
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เปิดเผยว่า กกร.ยังคงประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ที่ 2.8-3.3% และยังคงคาดการณ์การส่งออกที่ขยายตัวได้ 2-3% และ คงเงินเฟ้อคาดว่าจะอยู่ที่ 0.7-1.2% แม้จะมองว่า ภาวะเศรษฐกิจมีความเสี่ยงสูง และข้อจำกัดเชิงโครงสร้างของไทยที่ทำให้การส่งออกฟื้นตัวได้ช้าและไม่ทั่วถึง
อีกทั้ง อุปสงค์ภายในประเทศยังอ่อนแอ ดังนั้น เศรษฐกิจไทยจึงต้องการแรงกระตุ้นเพิ่มเติมจากทั้งนโยบายการคลังในการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณและมาตรการกระตุ้นอื่นๆ และนโยบายการเงินซึ่งจะเป็นในรูปของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งจะช่วยลดภาระทางการเงินให้กับภาคครัวเรือนและธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว
โดยเศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงเติบโตได้ต่ำลงจากปัญหาเชิงโครงสร้างที่กระทบต่อการผลิตและการส่งออก การผลิตภาคอุตสาหกรรมซึ่งมีขนาด 1 ใน 4 ของเศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับปัญหาและไม่สามารถส่งออกได้เต็มศักยภาพ สินค้าส่งออกสำคัญของไทยหลายรายการ เช่น รถยนต์สันดาป Hard Disk Drive และผลิตภัณฑ์พลาสติก ชะลอตัวลงจากปัจจัยทั้งระยะสั้นและระยะยาว
ขณะที่ สินค้าที่ส่งออกได้ดีเป็นสินค้าที่มีความซับซ้อนต่ำ เช่น ยางรถยนต์ และเนื้อสัตว์แปรรูป นอกจากนี้สินค้าบางประเภทเผชิญกับการแข่งขันจากสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นภาคการผลิตไทยจำเป็นต้องเร่งปรับตัวให้สอดคล้องกับกระแสโลกที่เปลี่ยนแปลง และบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น
นายเกรียงไกร กล่าวว่า สำหรับสัญญาณเศรษฐกิจโลกปรับตัวดีขึ้น โดยเศรษฐกิจสหรัฐฯยังมีแนวโน้มเติบโตได้ต่อเนื่อง และเศรษฐกิจจีนเริ่มมีสัญญาณบวกที่หนุนการทยอยฟื้นตัว ซึ่งส่งผลดีต่อภาคการส่งออก นอกจากนี้ทิศทางนโยบายการเงินของ ประเทศหลัก เช่น อังกฤษ และยุโรป มีแนวโน้มที่จะลดดอกเบี้ยเพื่อประคองการฟันตัวของเศรษฐกิจ ขณะที่การดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อาจไม่ได้รีบลดดอกเบี้ยเร็วและแรงเหมือนที่นักวิเคราะห์เคยคาดไว้ส่งผลให้ค่าเงินบาทมีทิศทางผันผวนอ่อนค่า
นายเกรียงไกร กล่าวว่า ปัญหาทางภูมิรัฐศาสตร์มีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากขึ้นในระยะข้างหน้า โดยประเทศที่แบ่งขั้วชัดเจนจะหันมาค้ากับประเทศที่มีจุดยืนทางภูมิรัฐศาสตร์ใม่ขัดแย้งกัน ดังนั้นไทยจะต้องหาโอกาสสร้างความได้เปรียบทางการค้า ขณะเดียวกัน เสนอให้รัฐบาลพิจารณาเพิ่มกลไกในการสนับสนุนผู้ประกอบการให้เข้ามาอยู่ในระบบ เพื่อสร้างฐานข้อมูลสำหรับประกอบการพิจารณาสินเชื่อตามกลไกตลาด
"อย่างไรก็ดี กกร. ขอขอบคุณรัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาสินค้าด้อยคุณภาพที่เข้ามาทุ่มตลาดในประเทศไทย ซึ่งกระทรวงการคลังอยู่ระหว่างพิจารณามาตรการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ แวต สำหรับการซื้อสินคำนำเข้าออนไลน์ที่ไม่เกิน 1,500 บาท เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมในการแข่งขันของผู้ประกอบการภายในประเทศ"
และ เพื่อให้เกิดการบรูณาการในการแก้ไขสินค้าไม่มีคุณภาพทั้งระบบ ภาครัฐควรพิจารณาปรับเงื่อนไขการใช้สิทธิประโยชน์เขตปลอดอากร หรือ ฟรีโซนรวมทั้งเพิ่มความเข้มงวดการตรวจจับสินค้าสำแดงเท็จที่นำเข้าผ่านด่านศุลกากร โดยสนับสนุนเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการตรวจสแกนสินค้า เนื่องจากปัจจุบันมีการสุ่มตรวจเพียง 30% ของรายการสินค้านำเข้าเท่านั้น ดังนั้นอยากให้รัฐบาลพิจารณาเพิ่มอัตราการสุ่มตรวจให้เป็นอย่างน้อย 70% หรือถ้าทำได้ 100% ก็จะเป็นเรื่องที่ดี
ตลอดจนเร่งประชาสัมพันธ์สร้างความตระหนักให้ประชาชนทราบถึงผลกระทบของการใช้สินค้าที่ไม่ได้คุณภาพ
ทั้งนี้ ปัญหาสินค้าด้อยคุณภาพที่เข้ามาในไทยนั่น ได้ส่งผลกระทบกับมากกว่า 20 กลุ่มอุตสาหกราม จากทั้งหมด 46 อุตสาหกรรมแล้ว ขณะเดียวกัน ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (เอ็มพีไอ) เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ก็มีหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 17 ซึ่งสะท่อนว่าการผลิตสินค้ในประเทศจะลดลงเรื่อย หากปล่อยไว้ จะกลายเป็ยผู้ประกอบการเลือกปิดไลน์การผลิต และจะหันไปนำเข้าสินค้าแทน โดยเฉพาะในกลุ่มเอสเอ็มอี
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า นอกจากนี้ กกร.ตระหนักถึงปัญหาของผู้ประกอบขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ที่มีศักยภาพแต่ยังเข้าไม่ถึงสินเชื่อในระบบ จึงเสนอให้รัฐบาลพิจารณาเพิ่มกลไกในการสนับสนุนผู้ประกอบการให้เข้มาอยู่ในระบบ เพื่อสร้าง ฐานข้อมูลสำหรับประกอบการพิจารณาสินเชื่อตามกลไกตลาด โดยส่งเสริมให้จดทะเบียนนิดีบุคคล โดยยกเว้นการจัดเก็บภาษีงินได้นิติบุคคลให้ 5-7 ปี เพื่อให้ผู้ประกอบการมีเวลาในการปรับตัว
พร้อมปรับเงื่อนไขและเพิ่มทรัพยากรช่องบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และเกิดความร่วมมือกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถเช้าถึงสินเชื่อในระบบได้มากขึ้น
"จากการสำรวจข้อมูลพบว่า มีธุรกิจอยู่นอกระบบมากถึง 50% ของธุรกิจทั้งหมเ โดยส่วนใหญ่เป็นเอสเอ็ม ทำให้ธุรกิจกลุ่มไม่มีข้อมูลเพียงพอที่จะประกอบการพิจาณาสินเชื่อ จึงทำให้เข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุน ซึ่งที่ผ่านมาทางรัฐบาลก็มีมาตรการเปิดให้ผู้ประกอบการมาลงทะเบียนในระบบแล้ว แต่กระบวนการอาจต้องใช้เวลา ดังนั้น รัฐบาลควรมีการทำมาตรการผ่อนปรน เช่น ยกเว้นภาษี เพื่อให้ผู้ประกอบการได้มีเวลาปรับตัว" นายผยง กล่าว
นายผยง กล่าวอีกว่า สำหรับกรณีการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่จะมีการประชุมวันที่ 10 เมษายน 2567 คงต้องติดตามว่า กนง.จะมีมติลดดอกเบี้ยนโยบายในครั้งนี้เลยหรือไม่ อย่างไรก็ดี ในส่วนของตลาด มองว่าในปี 2567 นี้ กนง.จะลดดอกเบี้ยลง 2 ครั้ง รวมลดลงประมาณ 0.5%