นายสาธิต ปิตุเตชะ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แถลงต่อกรณีที่นายกรัฐมนตรี และ ครม. จะเดินทางไปประชุม ครม.สัญจรที่จังหวัดจันทบุรี และตราดนั้นว่า ต้องขอบคุณที่ให้ความสำคัญกับภาคตะวันออก โดยเฉพาะจังหวัดจันทบุรี และตราด แต่ตนขอเรียกร้องให้เป็นการประชุม ครม. ที่ไม่เป็นเหมือนทัวร์นกขมิ้นเพื่อหาเสียงเพียงอย่างเดียว แต่อยากให้ลงพื้นที่เพื่อรับฟังความต้องการของพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง แล้วนำไปกำหนดเป็นตัวโครงการ
นายสาธิตกล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ได้วางพื้นฐานในการพัฒนาภาคตะวันออก โดยได้เน้นการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน โดยยุทธศาสตร์ใหญ่ของพรรคฯ คือการรักษาสมดุลของการพัฒนาตัวเลขทางเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ให้เดินไปพร้อมกัน ซึ่งวิสัยทัศน์นี้จะนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน แต่ 2 – 3 ปีที่ผ่านมา กลับพบหลักฐานว่ารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ เทน้ำหนักไปด้านการพัฒนาเศรษฐกิจมากกว่าเรื่องคุณภาพชีวิต โดยมีหลักฐานที่ปรากฎก็คือ 1. การออกคำสั่ง มาตรา 44 เพื่อให้อำนาจของคณะกรรมการนโยบายระเบียงเศรษฐกิจ หรือการให้ยกเลิกผังเมืองเดิม และมีคำสั่งให้เป็นพื้นที่ว่างเปล่า ซึ่งพร้อมที่จะกำหนดผังเมืองตามนโยบายที่ส่วนกลางเป็นผู้กำหนดโดยขาดการมีส่วนร่วม นอกจากนี้ยังมีหลักฐานว่า มีการออกมาตรการกฎหมายจูงใจในแง่ของการงดเว้นภาษีต่างๆ เพื่อผู้ประกอบการ นักลงทุนทั้งในประเทศ และต่างประเทศ โดยขาดสิ่งที่เป็นเรื่องคุณภาพชีวิตดังที่พรรคประชาธิปัตย์ได้เคยดำเนินการไว้ หรือการมีโครงสร้างสมดุล
ทั้งนี้นายสาธิต ได้ยกตัวอย่างถึงการตั้งคณะกรรมการ 4 ฝ่าย ซึ่งเชิญคนกลางเป็นประธาน มีรัฐบาลเป็น 1 ในโครงสร้างดังกล่าว มีผู้ประกอบการ และมีภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการคิด แก้ไขปัญหา เพื่อเดินร่วมกันไปสู่โครงการสำคัญๆ เช่น รัฐบาลนายกฯ อภิสิทธิ์ เคยใช้งบไทยเข้มแข็งทำน้ำประปาที่มีคุณภาพให้กับคนในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด และอำเภอบ้านฉาง และอำเภอเมือง จ.ระยอง โดยนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด แต่ประชาชนบริเวณรอบนิคมอุตสาหกรรมดังกล่าวกลับไม่เคยมีน้ำประปาใช้ก่อนหน้านี้ โรงพยาบาลขนาด 200 เตียง ที่อนุมัติไปพร้อมกับบุคลากรทางการแพทย์ที่ตรงกับปัญหาของพื้นที่ มหาวิทยาลัย ซึ่งสิ่งที่ตนอยากเสนอและเรียกร้องไปยังรัฐบาลว่า สิ่งที่คนภาคตะวันออกต้องการก็คือ โครงการในแง่ของคุณภาพชีวิต อาทิ โครงการที่จะช่วยแก้ปัญหาน้ำท่วมบริเวณพัทยา จันทบุรี ระยอง โครงการเพื่อแก้ปัญหารถติด จำพวกอุโมงค์ข้ามแยก หรือมอเตอร์เวย์ ที่จะช่วยบรรเทาปัญหา เป็นต้น ซึ่งโครงการเหล่านี้ล้วนจะทำให้คุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ดีขึ้น ขณะที่รัฐบาลเองก็ประกาศว่าจะต้องได้ตัวเลขการลงทุน 1.5 ล้านล้านบาท เพื่อลงมาสู่พื้นที่นี้
ที่สำคัญที่สุด เมื่อ ครม. ลงพื้นที่ดังกล่าวแล้ว ก็ต้องหวงแหนพื้นที่ของจังหวัดจันทบุรี และตราด ไม่ให้อุตสาหกรรมเข้าไปในพื้นที่ 2 จังหวัดนี้ ขณะเดียวกันก็ต้องส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงเกษตร ส่งเสริมการหาตลาดผลไม้ และส่งเสริมเรื่องการศึกษา ซึ่งขณะนี้ท้องถิ่นที่ จ.ระยอง มีการคิดระบบการศึกษารูปแบบพิเศษ ซึ่งไม่ใช่เป็นการคิดจากส่วนกลาง โดยการพัฒนาการศึกษาในพื้นที่พิเศษดังกล่าวมีความจำเป็นที่จะต้องมีความแตกต่างจากการศึกษาของชาติ เพราะต้องผลิตบุคลากรให้เข้าไปสู่ภาคอุตสาหกรรม ภาคท่องเที่ยว และการเกษตร อันเป็นการพัฒนาคุณภาพประชาชนให้มีภูมิคุ้มกันเท่าทันกับการพัฒนาเศรษฐกิจในแง่ของอุตสาหกรรม
ทั้งนี้นายสาธิตยังได้เรียกร้องอีกด้วยว่า คนภาคตะวันออกต้องการการกระจายอำนาจ คือการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด เพราะเป็นจังหวัดพิเศษ ซึ่งเป็นข้อเรียกร้องมานาน แต่ยังไม่มีการพูดถึง