เมื่อวันที่ 29 ส.ค. 2567 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ขณะนี้บริการ 30 บาทรักษาทุกที่ กรุงเทพ ได้เริ่มดำเนินการแล้ว ตั้งแต่วันที่ 22 ส.ค. 2567 โดยยึดหลักการ 30 บาทรักษาทุกที่ สุขภาพดีเริ่มที่ใกล้บ้าน ซึ่งเป็นหลักการสนับสนุนระบบบริการสุขภาพระดับปฐมภูมิ เพื่อดูแลสุขภาพของประชาชน
หมายความว่า ในการเข้ารับบริการนั้น จะต้องเริ่มจากเข้ารักษาในระดับปฐมภูมิก่อน นอกจากไปรับบริการที่หน่วยบริการปฐมภูมิ/ประจำตัวแล้ว ยังไปรักษาที่หน่วยบริการทางเลือกใหม่ที่เพิ่มความสะดวกได้ ทั้งที่ร้านยาคุณภาพและคลินิกเอกชนเข้าร่วม โดยใช้บัตรประชาชนเพียงใบเดียว ไม่ต้องใช้ใบส่งตัว ซึ่งสังเกตจากตราสัญลักษณ์ หรือ โลโก้ 30 บาทรักษาทุกที่ ที่จะติดอยู่ที่หน่วยบริการ และหากเกินศักยภาพการดูแล จะถูกส่งต่อไปรักษาที่โรงพยาบาลในเครือข่ายต่อไป
30 บาทรักษาทุกที่ ได้เพิ่มทางเลือกใหม่ให้กับประชาชนสามารถเข้ารับบริการได้ที่ร้านยาคุณภาพ และคลินิกเอกชนที่เข้าร่วมกับ สปสช. ซึ่งจะทำให้ประชาชนสามารถใช้บริการทางการแพทย์ตามความจำเป็นได้ตามเวลาที่สะดวกมากขึ้น โดยในส่วนของจังหวัดนำร่อง 30 บาทรักษาทุกที่ 45 จังหวัดที่ผ่านมานั้น มีบริการทางเลือกใหม่นี้ 7 ประเภท
แต่ในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นจังหวัดนำร่องที่ 46 จะมีเพิ่มอีก 10 ประเภท รวมเป็น 17 บริการนวัตกรรม โดยจะเป็นบริการเชิงรุกเพื่ออำนวยความสะดวกและสนับสนุนให้ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ที่มีความซับซ้อนของระบบบริการสุขภาพ ได้เข้าถึงบริการมากขึ้น ก่อนจะขยายไปยังจังหวัดอื่นๆ ต่อไป
ขณะที่ รศ.ดร.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า อยากให้ประชาชนเชื่อมั่นในระบบปฐมภูมิของ กทม. ซึ่งนโยบาย “30บาทรักษาทุกที่” ตามที่กระทรวงสาธารณสุข และ สปสช. เป็นเจ้าภาพร่วมกัน เพื่อขยายบริการดูแลสุขภาพในพื้นที่
ในส่วนบริการปฐมภูมิของ กทม. ไม่เพียงแต่ศูนย์บริการสาธารณสุข 69 แห่งเท่านั้น แต่เรายังมีสาขาของศูนย์บริการสาธารณสุขอีก 77 แห่ง ที่เป็นที่พึ่งให้กับประชาชนได้ มีพยาบาล และเจ้าหน้าสาธารณสุขประจำอยู่ เปรียบเหมือนหมอน้อยๆ ใกล้บ้านคนดูแลให้พี่น้องประชาชนได้ รวมถึงผู้ที่มาจากภูมิเลานำอื่นและเข้ามาทำงานใน กทม. ก็สามารถใช้บริการได้เช่นกัน
นอกจากนี้ ยังมีประชาชนจากปริมณฑลที่เข้ามาทำงานในแต่ละวัน ทำให้อาจมีประชาชน 10 ล้านคนที่เข้ามารับบริการสุขภาพใน กทม. ยังมี 7 หน่วยบริการนวัตกรรมที่เชื่อมโยงบริการ หรือที่เรียกว่า 7 นางฟ้า รวมถึงบริการนวัตกรรมอีก 10 ประเภทที่เป็นบริการเชิงรุก ก็สามารถเข้ารับบริการได้เช่นกัน ทำให้ไม่ต้องไปแออัดที่โรงพยาบาล
การเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพนั้น กทม. มีอีกโครงการที่กำลังทดลองอยู่ในโซนที่ 3 ในการทำระบบการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพประชาชนของหน่วยบริการในพื้นที่ ทั้ง รพ.เจริญกรุงประชารักษ์สังกัด กทม. รพ.เลิดสินสังกัดกรมการแพทย์ และรพ.จุฬาลงกรณ์ ที่เป็นโรงเรียนแพทย์ รวมถึงระดับปฐมภูมิ ทั้งศูนย์บริการสาธารณสุข คลินิกชุมชนอบอุ่น และร้านยาคุณภาพที่เป็นสมาชิก ซทั้งหมดได้เชื่อมโยงระบบข้อมูลครบหมดแล้ว ดังนั้นจึงอยากเชิญชวนให้หน่วยนวัตกรรม 7 นางฟ้า ให้เข้ามาร่วมในระบบเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะได้มีข้อมูลในการให้บริการที่ครบถ้วน
ด้าน นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า นโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่นั้น อยู่บนหลักการ “30 บาทรักษาทุกที่ สุขภาพดีเริ่มที่ใกล้บ้าน” สนับสนุน “ระบบบริการสุขภาพเริ่มต้นที่ปฐมภูมิ” สปสช.จึงได้เพิ่มบริการสุขภาพในระดับปฐมภูมิให้มากขึ้น ที่เรียกกันว่าหน่วยบริการนวัตกรรม โดยในกรุงเทพฯ คือ ศูนย์บริการสาธารณสุขสังกัดกรุงเทพมหานคร 69 แห่ง และศูนย์ฯ สาขา 77 รวมถึงคลินิกชุมชนอบอุ่นอีกประมาณ 280 แห่ง สำหรับหน่วยบริการทางเลือกใหม่ในกรุงเทพมหานคร
1.คลินิกเวชกรรมชุมชนอบอุ่น จำนวน 167 แห่ง
2.คลินิกทันตกรรมชุมชนอบอุ่น จำนวน 173 แห่ง
3.ร้านยาคุณภาพ จำนวน 901 แห่ง
4.คลินิกกายภาพบำบัดชุมชนอบอุ่น จำนวน 23 แห่ง
5.คลินิกพยาบาลชุมชนอบอุ่น จำนวน 13 แห่ง
6.คลินิกแพทย์แผนไทย จำนวน 25 แห่ง
และ 7.คลินิกเทคนิคการแพทย์ จำนวน 29 แห่งแล้ว
อนึ่ง สำหรับการเข้ารับบริการ 30บาทรักษาทุกที่ กรุงเทพนั้น กรุงเทพธุรกิจสรุปขั้นตอนให้เข้าใจง่ายเป็น 8 ขั้นตอน คือ
1. การใช้บริการ 30บาทรักษาทุกที่ กรุงเทพ ครอบคลุมเฉพาะการรักษาแบบปฐมภูมิ ยังไม่สามารถเดินเข้าไปรับบริการในรพ.ใหญ่ได้หากไม่ได้เป็นหน่วยบริการตามสิทธิ์
2.เจ็บป่วยทั่วไป หรือเจ็บป่วยเรื้อรังทั่วไปที่มีการรับยาต่อเนื่อง เข้ารับบริการที่หน่วยบริการปฐมภูมิ หน่วยบริการนวัตกรรม หรือหน่วยบริการประจํา ที่ได้รับการรับรองและมีป้ายสัญลักษณ์การเข้าร่วมนโยบาย 30บาทรักษาทุกที่ ทั้งนี้ ตรวจสอบหน่วยบริการที่ใกล้บ้านได้ที่ สายด่วน 1330
3. แสดงบัตรประชาชนหรือวิธีการอื่นที่กำหนด หรือสูติบัตรคู่กับ บัตรประชาชนของผู้ปกครองกรณีเด็กอายุต่ำกว่า 7 ปีทุกครั้ง เพื่อยืนยันการใช้สิทธิในการเข้ารับบริการ
4.ไปยังจุดคัดกรองผู้ป่วย
5.กรณีที่ไม่ใช่กรณีฉุกเฉิน และหน่วยบริการไม่สามารถให้บริการได้เนื่องจากเกินขีดจํากัดด้านจํานวนในแต่ละวัน ให้ประสานนัดวันให้ผู้รับบริการเข้ารับบริการใหม่ในภายหลัง
6.กรณีที่ผู้รับบริการเห็นว่าใช้ระยะเวลาในการรอเพื่อรับบริการนาน เกินสมควร ให้สอบถามระยะเวลา หากไม่สามารถรับบริการในวันดังกล่าวได้ ให้ติดต่อสายด่วน สปสช. 1330 เพื่อนัดหมายวันเวลาที่สามารถเข้ารับบริการในภายหลัง
7.แสดงบัตรประชาชน หรือสูติบัตรคู่กับบัตรประชาชนของผู้ปกครองกรณีเด็กอายุต่ำกว่า 7 ปีทุกครั้ง เพื่อยืนยันการใช้สิทธิเมื่อสิ้นสุดการบริการ
8.กรณีที่หน่วยบริการไม่สามารถให้บริการได้ เนื่องจากเกินศักยภาพในการให้บริการ ให้หน่วยบริการพิจารณาส่งต่อผู้รับบริการไปยังหน่วยบริการที่มีศักยภาพในการให้บริการ หรือให้หน่วยบริการแจ้งสายด่วน สปสช. 1330