ปากเสียงของคนท้องถิ่น เพื่อการพัฒนาประเทศ
อปท.นิวส์เชิญเป็นแขก ย้อนกลับ
ชิบ จิตนิยม สมาชิกวุฒิสภา
11 ก.ย. 2567

ที่ผ่านมาไม่นานมานี้ ในแวดวงการเมืองมีเรื่องสำคัญอยู่เรื่องหนึ่ง นั่นก็คือ การสรรหาสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ชุดใหม่ จำนวน 200 ท่าน แทนชุดเก่า จำนวน 250 ท่าน ที่ต้องหมดวาระไป ซึ่งกล่าวกันได้ว่า การได้มาซึ่ง สว.ชุดใหม่นี้สลับซับซ้อนยิ่งนัก ทั้งมีการแบ่งเป็นสายอาชีพต่างๆ ถึง 20 กลุ่มอาชีพ ที่ต้องสมัครกันเข้ามาให้เลือกกันเองในกลุ่มและยังมีการเลือกสลับกลุ่มกันอีก จากใน 3 ระดับด้วยกัน จากระดับอำเภอ มาสู่ระดับ จังหวัด และสุดท้ายมาจบที่ระดับประเทศ ซึ่งก็กล่าวได้ว่า ไม่ง่ายนักที่จะได้รับการคัดเลือกเข้ามาสู่หน้าที่อันทรงเกียรตินี้ เพราะพวกเขาต้องคือ 1 ใน 10 คน ของแต่ละกลุ่มเท่านั้นนั่นเอง

และกลุ่มที่ถูกกล่าวขานจับจ้องมากที่สุดก็คือ กลุ่ม 18 “กลุ่มสื่อสารมวลชน ผู้สร้างสรรค์วรรณกรรม” และ 1 ใน สว.สายนี้ที่ อปท.นิวส์เชิญเป็นแขกฉบับบนี้ จะพาท่านผู้อ่านมารู้จักก็คือ “คุณชิบ จิตนิยม” อดีตพิธีกรรายการข่าวต่างประเทศชื่อดัง ผ่านงานด้านการข่าวต่างประเทศเริ่มต้นจาก IBC เคเบิลทีวี ซึ่งเป็นเคเบิลทีวีรายแรกของไทย แล้วก็ไปต่อที่สถานีโทรทัศน์ ITV อีก 10 ปี ก่อนจะไปต่อที่ช่อง 7 ครึ่งปี ตามมาด้วยช่อง 3 อีก 10 ปี จนอายุ 55 ปี จึงเกษียณออกมาต่อที่เนชั่นทีวีในรายการ “จับจ้องมองจีน” พร้อมดำรงตำแหน่ง เลขาธิการสมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน และตัดสินใจเข้าสมัครสมาชิกวุฒิสภาในท้ายสุด

            คุณชิบ จิตนิยม ที่วันนี้เราคงต้องเรียกขานเขาว่า สว.ชิบ ที่ปัจจุบันมีอายุเลยเลข 60 เข้ามาแล้วที่วัย 62 ปีเต็ม (28 เมษายน 2505) กล่าวได้ว่า ชีวิตได้เรียบง่ายนักที่ต้องฟันฝ่าอุปสรรคมาไม่น้อยกว่าจะเดินมาถึงวันนี้ เนื่องเพราะในวัยเด็กเป็นคนในพื้นที่ที่กล่าวได้ว่าใกล้ปืนเที่ยง ในตำบลดอนเจดีย์ อำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งปัจจุบันตำบลดอนเจดีย์ ได้เปลี่ยนชื่อเป็นตำบลหนองส่าหร่ายไปแล้ว คุณพ่อคุณแม่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมทำไร่ทำนา มีพี่น้องทั้งหมด 8 คน ชาย 6 หญิง 3 ซึ่งก็เป็นคนเดียวที่ได้เรียนต่อจากระดับประถม ระหว่างเรียนตอนเด็กประถม 1-4 ที่โรงเรียนวัดปลักเขว้า ประมาณ 7 ขวบ ก็เริ่มทำงานแล้ว โดยอาชีพแรกที่จำได้ก็คือ เก็บฝ้าย ใบยาสูบ เก็บมันสำปะหลัง พอโตขึ้นมาหน่อยก็มาเก็บอ้อยตัดอ้อย ส่วนเรื่องเรียนก็ลำบากมากเพราะไม่มีไฟฟ้าต้องใช้ตะเกียงกระป๋องนมในการอ่านหนังสือ ซึ่งอาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สายตาสั้นในเวลาต่อมาจนถึงทุกวันนี้

“โรงเรียนตอนนั้นก็มีครูแค่ 2 คน คนแรกก็เป็นคุณอาน้องของคุณพ่อผมเอง อีกคนก็เป็นครูแก่ชื่อครูเที่ยง ตอนนี้ก็เสียชีวิตไปหมดแล้ว ห้องเรียนมี 4 ห้อง นักเรียนก็มีราวๆ 40 คน พื้นห้องเรียนก็เป็นพื้นดินธรรมดาเหมือนโรงเรือนมากกว่า เสาธงทำด้วยโอ่งจากโอ่งเล็ก โอ่งน้อย เป็นไห สุดท้ายปลายสุดเป็นกระป๋องนม น่าจะเป็นสิ่งแปลกที่สุดในประเทศไทย เครื่องแบบนักเรียนก็เก่า รองเท้าก็ไม่มี สมัยนั้นในปิ่นโตใครเอาไข่ต้มไปกินก็ถือว่ามีอันจะกินแล้ว ส่วนอาหารหลักของผมก็คือแกงเปรี่ยวหรือแกงส้มผักบุ้ง กฐิน น้ำพริก และก็อาจจะมีพวกปลาซิวปลาสร้อย ตามฤดูกาล นี่แหละแต่ผมก็ถือเป็นเด็กที่เรียนเก่ง เป็นหัวหน้าห้อง หัวหน้าชั้น”

สว.ชิบ เล่าต่อด้วยว่า สมัยนั้นพอจบประถท 4 แล้ว ก็ไม่มีใครได้เรียนต่อเท่าไหร่ แต่เนื่องจากเป็นคนเรียนเก่ง เจ้าอาวาสที่วัดเลยไปขอคุณพ่อ ถูกส่งเรียนต่อเป็นเณรที่วัดจิตตภวันของท่านกิตติวุฒิโทที่อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี อยู่ 12 ปี สมัยนั้นก็ตื่นเต้นมากเพราะมีคนมาเรียนเป็นพันๆ คน ที่จิตตภาวันก็มีสอนทั้งหลักสูตรสายสามัญและศาสนาด้วย แต่ก็เรียนอยู่ได้ถึงมัธยม 1-2 ก็ลาสิกขาออกมาเรียนต่อมัธยมที่ต้องมาเริ่มมัธยมใหม่ที่บ้านเกิดพนมทวนที่โรงเรียนพระแท่นดงรังวิทยาคาร ซึ่งบรรยากาศก็ยังเหมือนเดิม ไฟฟ้า ประปาไม่มี จะดูโทรทัศน์ก็ต้องไปอาศัยชาวบ้านดู แต่ก็ยังเรียนเก่งอยู่ดี โดยสอบได้ที่ 1 ตลอดมา ก็ได้เป็นประธานนักเรียน สอบได้ที่ 1 ของโรงเรียนจังหวัดที่โรงเรียนวิสุทธรังษีที่จะเรียนต่อภาษาอังกฤษ

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเป็นคนชอบศิลปะ ชอบขัดๆ เขียนๆ ชอบวาดรูป ประกวดก็ชนะ เรียนก็เก่ง ครูก็แนะนำให้ไปเรียนวาดรูป ช่างศิลป์ กรมศิลปากร เพื่อจะออกมารับจ้างเขียนป้าย ก็มาเรียนต่อ ปวช.ช่างศิลป์ วิทยาลัยช่างศิลป์ กรมศิลปากร ซึ่งก็ต้องสอบเข้ายากมาก ตอนนั้นก็มาเป็นเด็กวัดที่วัดอัปสรสวรรค์วรวิหาร ภาษีเจริญ แต่ก็ลำบากมาก เพราะการเรียนที่ช่างศิลป์มีค่าใช้จ่ายที่สูง ไม่ว่าจะเป็นค่าสี ค่ากระดาษ ค่าเรียนก็แพง ทางบ้านก็ชาวยเหลือบ้างแต่ก็ทำไม่ได้มาก ก็ต้องดิ้นรนช่วยตัวเองบ้าง ระหว่างนั้นก็มีเพื่อนมาชวนไปแบกเข่งไก่ที่โอเดียน เยาวราช ก็ไปลองดู แต่ก็ไม่ไหว ทั้งค่าแรงและก็สภาพแวดล้อมของผู้คนแบกหามในขณะนั้น ก็กลับมาคิดว่า ชีวิตช่วงนั้นมาถึงขีดสุดจริงๆ ก็อดทนเรียนอยู่ 3 ปี จนจบ ปวช. ก็เริ่มหาทางขยับขยายที่จะเข้ามาเรียนในสายอุดมศึกษา

“ผมสอบเทียบ มศ. 5 อยู่สองรอบ ถึงสอบได้แต่ก็พอดีกับจบ ปวช. พอดี พร้อมกับมานึกได้ว่าเราเองก็ชอบภาษาอังกฤษ ก็เลยมาใช้วุฒิ มศ.5 สอบเข้าคณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ที่นครปฐม ซึ่งก็ถูกวิจารณ์อยากมากเหมือนกันว่า ทำไมไม่เลือกเรียนคณะที่เกี่ยวกับวาดรูป พวกจิตรกรรม ศิลปกรรม แต่กลับมาเลือกเรียนด้านภาษา ผมก็บอกว่า ผมมีนายกฯ ชวนเป็นตัวแบบ ที่ก็จบช่างศิลป์เหมือนกันแต่ก็มาเลือกเรียนสายอื่นแทน ซึ่งก็ยังอยู่เป็นเด็กวัดจนเรียนจบปริญญาตรี เช้าก็ยังต้องถือปิ่นโตตามพระอาจารย์ ขัดบาตร ตักน้ำ ก็ปรนนิบัติพระอาจารย์เป็นอย่างดี ขณะที่ก็ต้องไปเรียนด้วย”

สว.ชิบ บอกต่อไปว่า เรียนจบพระอาจารย์ท่านก็ใจดีไปฝากทำงานที่แรกให้ที่บริษัททัวร์แถวประตูน้ำ ทำได้อยู่ 3-4 เดือน ก็ไม่ประสบความสำเร็จ เริ่มท้อนิดหน่อยว่า เราก็เป็นคนเรียนเก่งทำไมถึงทำงานที่นี่ไม่ราบรื่น ถูกต่อว่าอยู่เรื่อยจนบางครั้งถึงขั้นแอบไปร้องไห้ ท้ายสุดก็ต้องออกจากบริษัททัวร์ พร้อมกับก็ออกจากวัดมาเช่าห้องอยู่เอง และออกหางานใหม่ โดยเมื่อคิดว่าตัวเองมีพื้นฐานภาษาอังกฤษ ก็ไปสมัครสอบเป็นลูกจ้างชั่วคราวที่สำนักงานเลขานุการรัฐมนตรี กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและพลังงาน (ชื่อในสมัยนั้น) ทำอยู่ 3 ปี ก็เรียนต่อปริญญาโทวารสารศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ไปด้วย และก็มาจบเมื่อปี 2535

อย่างไรก็ตาม ที่กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ มีเงินเดือนไม่สูงมากนัก ทำให้อยากหางานใหม่ พอดีก็ไปเดินเตร่อยู่แถวราชวัตรก็เจอบริษัท IBC เคเบิลทีวี เปิดรับสมัครคนแปลข่าวต่างประเทศก็ตรงเข้าไปสมัคร และคนที่เข้ารับสมัครเขาก็รับ และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของการเข้าสู่วงการสื่อสารมวลชน เป็นผู้สื่อข่าวต่างประเทศ เริ่มต้นจากแปลข่าวต่างประเทศ ก็จะมีลงเสียงบ้างเพราะสมัยนั้น IBC เคเบิลทีวีก็มีรายการสารคดี ก็ใช้เสียงพากษ์หนังบ้าง ลงสารคดีอื่นๆ บ้าง แต่ก็ยังไม่ได้ออกหน้าจอมาจัดรายการ ก็ทำอยู่ที่ IBC ได้ 6 ปี

จนมาถึงการก่อตั้งของ ITV ทีวีแสรีขึ้น ก็ไปสมัครและก็เจอบททดสอบแรกคือวิเคราะห์การเลือกตั้งในสมัยประธานาธิบดีสหรัฐฯ “บิล คลินตัน” ก็ไม่ได้มีความรู้อะไรมากมายในขณะนั้น ก็วิเคราะห์ไปตามแบบฉบับของเรา ซึ่งก็ผ่านมาได้อย่างประหลาดใจ แต่ก็ใช่ว่าจะราบรื่นเพราะก็ถูกต่อว่าให้มีการปรับปรุงการวิเคราะห์ข่าวให้เข้มข้นมีทิศทางขึ้น ที่โชคดีก็คือสมัยนั้นมี “คุณสุทธิชัย หยุน” จากเนชั่น เข้ามาทำรายการ “จับกระแสโลก” ที่ ITV ให้เข้ามาช่วย จนคุณสุทธิชัยออกไปก็ได้เข้ามาทำแทน แล้วก็มี “ดร.สมเกียรต์ อ่อนวิมล” เข้ามา “หม่อมหลวงปีย์ มาลากุล” ซึ่งก็เป็นการเปลี่ยนผู้บริหาร แต่ตัวเขาก็ยังอยู่ที่เดิม

“ก็ได้ทำข่าวที่ ITV ทั้งแปลข่าว เป็นบรรณาธิการข่าว ได้ทำข่าวสำคัญๆ ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นตึกเวิลด์ เซ็นเตอร์ ถล่ม ผมก็ไปที่อเมริกาเลยนะ ข่าวเจ้าหญิงไดอาน่าสิ้นพระชนม์ เกาะเคย์แมน ไปช่วยคนไทยที่เกาะเซเชลส์ เรตติ้งดีมาก ผมทำข่าวห่ามรุ่งห่ามค่ำ ถ่ายทอดสด อะไรที่เกิดปุ๊ปปั๊ป ผมต้องจัดรายการสด ตอนนั้นทำรายการสนุกมาก ก็ทำอยู่ที่ ITV 10 ปี จนกระทั่งจอดำถูกสั่งปิด ผมก็ฝากวาทะไว้เยอะถึงท่านนายกฯ สุรยุทธ์ (จุลานนท์) ผมบอกว่า ถ้าหาก ITV นี่ท่านแก้ปัญหาไม่ได้ ผมก็สงสารประเทศไทยแล้วครับ ผมพูดปิดท้ายรายการก่อนจอมืด บางคนก็บอกทำไมพูดแรงจัง ก็อยากให้ใครก็ได้มานั่งดูได้เลยว่า มีใครมาสั่งการข่าวหรือไม่ เราทำงานข่าวอิสระเต็มที่ ผมบอกว่า รางวัลที่ ITV เคยได้รับขอให้มาเอากลับไปให้หมด ถ้าคิดว่าเราอยู่ใต้อุ้งมือของชินวัตร”

สว.ชิบ เล่าต่อไปอีกว่า หลัง ITV จอดำ ก็ไปอยู่ มีเดีย ออฟ มีเดีย ที่ช่อง 7 อยู่พักหนึ่งสัก 6 เดือน ช่อง 3 ก็เรียกตัวไปทำรายการข่าวต่างประทศในการเลือกตั้งประธานาธิปดี “บารัค โอบามา” ของสหรัฐฯ ก็ทำข่าววิเคราะห์ข่าวต่างประเทศเหมือนเดิม เดินทางเยอะแยะมากมาย คือถ้ารียงลำดับตัวอักษรตั้งแต่ A-Z ไปมาเกือบ 100 ประเทศแล้ว ก็สร้างสมประสบการณ์มา 10 ปี ที่ช่อง 3 ที่โด่งดัง ก็ Asia connect แล้วก็เกษียณที่ช่อง 3 เมื่ออายุ 55 ปี โดยมีสัญญาว่าจะต้องไม่ไปทำงานในอาชีพเดียวกันนี้ 1 ปี

หลังจากนั้นคนรู้จักก็ชักชวนมาเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยนครพนม สอนนิเทศศาสตร์ เสนอเป็นผู้ช่วยอธิการบดี แต่ก็ถือว่าไกลมาก เงินเดือนก็ไม่เยอะ ก็ขับไปกลับมากับกรุงเทพฯ อยู่ปีเดียวก็ต้องขอออก เพราะรู้สึกสงสารภรรยาที่ร่วมทุกข์สุขกันมาตั้งแต่อยู่ IBC ที่ต้องอยู่คนเดียว กับลูกสาว 2 คน ที่ก็เรียนจบทำงานกันหมดแล้ว ต่อจากนั้นก็มาอยู่ที่ เนชั่น ข่าวต่างประเทศเหมือนเดิม ทำได้สัก 2 ปี ก็เกษียณที่เนชั่นเมื่ออายุ 60 ปี ก็รายการที่โด่งดังก็คือ “จับจ้องมองจีน” ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างเนชั่นกับจีน 2 ปี พอขึ้นปีที่ 3 ก็มาสมัครเข้าเป็น สว.

สำหรับแรงบันดาลใจที่สนใจเข้ามาสมัครเป็น สว. นั้น สว.ชิบ บอกว่า เริ่มมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมที่ช่วงนั้นมีการเลือกตั้งประธานนักเรียน มีการหาเสียง ซึ่งก็ชนะด้วยคะแนนท่วมท้น ซึ่งก็เป็นคนแรกที่ชนะการเลือกตั้ง และก็ได้เป็นผู้นำ เป็นหัวหน้าห้องมาตลอด ทำให้ฝังใจ ยิ่งโดยเฉพาะหลังได้มาทำข่าวเกี่ยวกับผู้นำทั่วโลก ก็รู้สึกอยู่ในดีเอ็นเอแล้ว ก็มารู้สึกว่าถ้าได้เป็น สว.ก็จะได้ทำอะไรใหม่ๆ ดูบ้าง

“เมื่อก่อนก็เคยไฝ่ฝันจะเป็น สส.อยู่เหมือนกัน แต่ดูแล้วก็ต้องใช้งบประมาณมหาศาล แล้วก็ไม่อยากไปรบกวนใครทั้งๆ ที่เคยมีคนชักชวน แต่ก็คิดว่าพึ่งพาแล้วก็จะไม่เป็นอิสระ แต่พอมา สว.ก็เพียงค่าสมัคร 2,500 บาทเอง แล้วก็ไม่ต้องไปหาเสียงให้วุ่นวายอะไรมาก ก็คิดมานานแล้วเหมือนกันที่จะเข้าสู่การเมืองตั้งแต่ ITV จอดำ ที่ สว.ต้องมาจากการเลือกตั้งในสมัยนั้น แต่ก็ไม่พร้อม ผมมีความรู้สึกลึกๆ นะ ว่าจะได้เข้ามา เพราะเราทำรายการมีคนรู้จัก อาศัยช่องทางที่มีคนรู้จักเราน่าจะมีคะแนนอยู่บ้าง โดยผมลงสมัครกลุ่มสื่อสารมวลชนฯ ที่บ้านเกิดจังหวัดกาญจนบุรี”

กลุ่ม 18 ที่เมืองกาญจน์มีลงทั้งหมด 15 คน แต่โชคดีที่รอบแรกที่อำเภอพนมทวนมีคนเดียวที่ลงสื่อก็ผ่านเข้ามารอบจังหวัดเลย แต่พอมารอบจังหวัดนี่เจอเลย ถึงรู้ว่าฐานเสียงนี่สำคัญกว่าชื่อเสียง สื่อโนเนมที่ไมรู้จักฐานเสียงแน่นเลย มีการทำสำรวจด้วยซ้ำไปใครจะมาจะไป ส่วนเราถือว่าเป็นคนนอกที่โผล่เข้าไป บังเอิฐโชคดีที่มีผู้ใหญ่ที่เมืองกาญจน์พอรู้ว่านี่คุณชิบนี่มาลงเมืองกาญจน์ อย่างนั้นต้องส่งเข้าประกวดแล้ว คนอื่นโนเนมพอเข้ารอบประเทศก็ตกหมด มีการมองแบบนั้น เป็นช่วงวินาทีสุดท้ายจริงๆ ที่มีการเรียกคุยกัน ก็ได้ผู้ใหญ่วางแผนให้ถึงได้เข้ามา ส่วนรอบสุดท้ายระดับประเทศก็เป็นเพราะชื่อเสียงที่มีคนรู้จัก โดยได้เข้ามาเป็นคนที่ 8 จาก 10 ในกลุ่มสื่อมวลชน

ส่วนการเป็นสื่อมวลชนกับการได้เข้ามาเป็น สว.ทำงานต่างกันอย่างไรนั้น สว.ชิบ บอกว่า ต่างกันเยอะ เอาแค่  2 เดือนที่ผ่านมา คือตอนเป็นสื่อได้ไปไหนมาไหนเยอะมาก แต่พอมาเป็น สว.เป็นเรื่องตัวบทกฎหมาย การกลั่นกรอง ต้องอ่านวาระการประชุม อย่างล่าสุดรายงานแระจำปีแต่ละองค์กรเป็น ร้อยๆ หน้า กฎหมายที่ผ่านมาจาก สส.ก็ต้องมาอ่านรายละเอียด  ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้ใหม่ เพราะฉะนั้นต้องมีกรรมการประสานงานชั่วคราว หรือที่ สส.เรียกวิป แต่ สว.ยังไม่มีวิป ก็เป็นตัวแทนของทั้งหมด 200 คน ก็จะมีวิป 20 คน มาแก้ปัญหาคือต้องมีการคุยกันก่อน

“อย่างกรรมาธิการที่ตั้งกันมาและมีการวอร์กเฮ้า ก็เริ่มมีการพูดคุยกัน อย่างที่ผ่านมาที่พวกคุณเสนอมาหมดทั้ง 15 คน ทุกครั้งที่เสนอ แล้ว 5 ปีที่พวกผมทำงานอิสระจะอยู่ไปทำไม ทำอะไรก็ไม่ได้ ก็จะมีการคุยกันหาทางไปฝ่ายละกี่คน ทิศทางก็ดีขึ้น การพิจาณากฎหมายเยอะมาก คู่มือต่างๆ เฉพาะข้อบังคับ ไม่ว่าจะเป็นการตั้งคณะกรรมกาธิการ การยื่นญัตติ การแปรญัตติ การตั้งกระทู้ แล้วยังมีประมวลจริยธรรมอีก ล่าสุดก็เอกสารงบประมาณประมาณ 2 ลังใหญ่ๆ บางคนไม่อยากอ่านเพราะก็ไม่อยากอภิปราย ส่วนเรื่องที่สำคัญก็คือการให้ความเห็นชอบกรรมการองค์กรอิสระ” สว.ชิบ กล่าว

ไม่ว่าจะอย่างไรต่อการทำหน้าที่ สว.ในอีก 5 ปี ข้างหน้า ก็ขอให้ สว.ชิบ ที่วันนี้ถือว่าได้เข้ามาเป็นนักการเมืองหน้าใหม่อีกคนหนึ่ง ได้ทำหน้าที่ผู้แทนปวงชาวไทยอย่างสมเกียรติ เป็นคุณต่อประเทศและสังคมไทยไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า หรือให้ดีกว่านักการเมืองหน้าเก่าๆ ที่ผ่านมา ...

หนังสือพิมพ์ OPT NEWS ONLINE
วันที่ 16 - 30 กันยายน 2567
อปท.นิวส์เชิญเป็นแขก ดูทั้งหมด
12 ก.ย. 2567
กล่าวได้ว่าบทบาทของตำรวจไทยทั้งในอดีตและปัจจุบัน หลายท่านหลายคน หลังจากผ่านความเหน็ดเหนื่อย ความยากลำบากในการผดุงความยุติธรรม ไล่จับคนร้ายทั้งตัวใหญ่ตัวเล็กมาตลอดชีวิตราชการ เห็นความทุกข์ยาองประชาชน เห็นปัญหาของสังคมในทุกแง่มุม อดไม่ได้ที่หลังเกษียณจะก้าวเข้าส...