ปากเสียงของคนท้องถิ่น เพื่อการพัฒนาประเทศ
อปท.นิวส์เชิญเป็นแขก ย้อนกลับ
ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความคนใหม่ กอบกู้วิชาชีพ เคียงข้างประชาชน
11 ก.ย. 2567

คงจะต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์วงการวิชาชีพทนายความของไทย เมื่อการเลือกตั้งนายกสภาทนายความแห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2565 ทีมวิเชียรเวิร์ค ชูนโยบาย 6 ด้าน 30 ข้อ นำโดย ดร. วิเชียร ชุบไธสง ได้รับเสียงสนับสนุนจากทนายความทั่วประเทศสูงสุด พลิกประวัติศาสตร์ของการเลือกตั้งที่มีผู้มาเลือกตั้งมากที่สุดเป็นประวัติศาสตร์เช่นกัน ดร.วิเชียร จะนำพาองค์กรของวิชาชีพทนายความกลับมาเป็นที่พึ่งของประชาชนอีกครั้งหนึ่ง ไปดูชีวิตแบบไลฟ์สไตล์ของนายกสภาทนายความคนใหม่ที่ชื่อ ดร.วิเชียร ชุบไธสง

ดร.วิเชียร บอกว่า เป็นคนเกิดในชนบท อ.พุทไธสง จ.บุรีรัมย์ เรียนหนังสือชั้นประถมจนถึงชั้น ม.ศ.3 ที่โรงเรียนพุทไธสง บ้านเกิด หลังจากนั้นเข้ามากรุงเทพฯ เรียนต่อที่โรงเรียนอินทรศึกษา แถวราชดำริ  ปทุมวัน ซึ่งตอนนี้กลายเป็นสถาบันเอยูเอไปแล้ว แล้วมาต่อชั้น ม.ศ.5 ที่โรงเรียนโรจน์เสรี อยู่แถวบางจาก พระโขนง หลังจากนั้นมุ่งอย่างเดียว คือต้องเรียนนิติศาสตร์ โดยได้แรงบันดาลใจจากคุณตาที่เรียนด้านกฎหมายจากโรงเรียนธรรมศาสตร์และการเมืองที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แล้วมาเป็นทนายความ ซึ่งเคยติดตามท่านอยู่ช่วงหนึ่งเลยสนใจเรียนด้านนี้ แต่ต่อมาคุณยายได้เสียชีวิตลง ซึ่งเลี้ยงผมมาตั้งแต่เด็ก ความตั้งใจเปลี่ยน เพราะไม่ได้ตั้งใจอ่านหนังสือ จึงเบนเข็มไปเรียนนิติศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง โดยจบรุ่นที่ 9 คณะนิติศาสตร์ ประมาณปี 2525

“ในช่วงที่เรียนอยู่รามคำแหง ผมชอบเล่นฟุตบอล จึงอยากมีทีมของตัวเอง จึงรวบรวมเพื่อนๆ เล่นฟุตบอลลงแข่งบอลกีฬาในมหาวิทยาลัย เพื่อนๆ ราว 30 คนที่เป็นทีม ผมตั้งชื่อทีมฟุตบอลว่า ทีมสหมิตร แต่เพื่อนที่สนิทๆ จะไม่ค่อยมีเพราะต่างคนต่างเรียน แต่เพื่อนๆ ที่เคยเรียนด้วยกัน ก็ประกอบอาชีพหลายด้าน ทั้งนักกฎหมาย ราชการ ตำรวจ อัยการ ผู้พิพากษา ซึ่งได้รู้จักกัน ซึ่งปัจจุบันหากมีการแข่งขันเชื่อมความสามัคคี ก็จะพบปะสังสรรค์กันบ้าง แต่รุ่นนี้จะเกษียณกันหมดแล้ว กลุ่มตำรวจ แต่อัยการ หรือข้าราชการตุลาการยังทำงานกันอยู่”

ดร.วิเชียร เปิดเผยต่อไปว่า เมื่อเรียนจบด้านกฎหมายมา ตั้งใจจะเป็นทนายความช่วยเหลือประชาชน แหล่งบ่มเพาะแห่งแรก คือสำนักงานทนายความของ สมบัติ สมบูรณ์ทรัพย์ อดีตส.ส.ราชบุรี 5สมัย โดยไปทำงานกับท่านอยู่ประมาณ 1 ปี หลังจากนั้นย้ายมาทำงานกับสำนักกฎหมายของท่าน คำนวณ ชโลปถัมภ์ ในระหว่างทำงานก็เข้าไปมีส่วนร่วมในการเป็นทนายความอาสาของสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีสภาทนายความฯ เกิดขึ้น

“บอกเลยว่า ผมโตมาจากทนายความอาสา รับเรื่องส่วนใหญ่เป็นเรื่องคดีมากมาย และอาสารับเฉพาะคดีอาญาอีกด้วย และจะเป็นทนายฝ่ายจำเลย ตอนนั้นคดีเข้ามาเยอะมาก ไปศาลทั้งเช้าทั้งบ่าย แต่ประมาณปี 2536 ผมเบนเข็มไปทำคดีด้านคดีแพ่ง งานแรกจำได้เลย ตอนนั้นได้รับการเอ็นดูจากท่านหนึ่งคือ คุณประวิทย์ องค์วัฒนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการธนาคารกรุงศรีอยุธยา ส่งคดีเรื่องบัตรเครดิตให้ไปฟ้อง โดยทำงานในนามของสำนักงานของท่านคำนวณ ชโลปถัมภ์ ทำหน้าที่ช่วยฟ้องถึง 32 คน นั่นเป็นงานแรก แต่เป็นงานใหญ่สำหรับผมเลยในครั้งนั้น ทำงานกับท่านคำนวณอยู่พักใหญ่ระหว่างนั้นคงประมาณปี พ.ศ. 2536-2540 ทำงานคดีแพ่งอยู่หลายคดี”

                อย่างไรก็ตาม ด้วยใจที่รักกีฬาฟุตบอลตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยแล้ว การแก้เครียดอย่างหนึ่งคือการเล่นกีฬาคือฟุตบอล ในช่วงที่เป็นทนายความได้ตั้งทีมฟุตบอลขึ้นมาแข่งในระดับฟุตบอลสมัยก่อนคือ บอลถ้วย ทำทีมบอลถ้วย ข. สังกัดจังหวัดระยอง แล้วต่อมาเป็นฟุตบอลไทยลีก ก็ไม่ได้ทำทีมส่งแข่งแล้ว เพราะไม่มีเงินลงทุน ตอนนั้นทำทีมอยู่ระยะ2- 3 ปี ลงทุนเอง แต่ก็หนีไม่พ้นเรื่องฟุตบอลอีก พอมาทำงานที่สภาทนายความในยุคที่คุณเดชอุดม ไกรฤทธิ์ เป็นนายกสภาทนายความ ก็ตั้งทีมฟุตบอลของสภาทนายความขึ้นมาอีก คราวนี้ไปแข่งกระชับความสัมพันธ์ถึงในต่างประเทศ เมื่อปี 2548 ได้ส่งทีมฟุตบอลทนายความไปร่วมแข่งฟุตบอลทนายความโลกที่ประเทศตุรกี และครั้งที่ 2 ไปแข่งขันที่ประเทศสเปน  แต่ครั้งที่ 3 ส่งเองในนามชื่อทีมว่า Lawyer All Star ด้วยทุนตัวเอง และยังส่งไปแข่งขันที่ประเทศสเปนอีก 2 ครั้ง ทีมมาร่วมทั้งสิ้น 54 ทีม เคยได้แชมป์กลุ่ม กีฬาทนายความโลก และปัจจุบันทีมทนายความไทยยังครองความเป็นที่ 1 ของเอเชีย โดยเคยส่งแข่งในระดับเอเชียถึง 4 ครั้ง ในปี 2562 ครั้งสุดท้ายเจ้าภาพคือกรุงเทพมหานคร ได้แชมป์ทั่วไปและแชมป์อาวุโสด้วย

                นอกจากนี้ ด้วยใจที่ชอบและรักในกีฬาฟุตบอล ได้ลงทุนสร้างสนามฟุตซอล 1 สนาม เมื่อประมาณปี 2546 ให้เช่าแข่งขันและสนามฝึกซ้อมคิวแน่นมาก จนขยายสนามไปอีกขณะนี้รวมแล้วมี 5 สนามไว้บริการเด็กและเยาวชน อยู่ย่าน

วัชรพล รามอินทรา เคยเอานักฟุตบอลมาฝึกจนเป็นนักฟุตบอลทีมชาติโด่งดังมาหลายคน อาทิ ชนาธิปหรือเมสซี่เจ, กวิน, ปกเกล้า และอีกหลายคน โดยมีผู้ฝึกสอนอย่าง อ.มานิตย์ อดีตนักฟุตบอลจากสโมสรราชวิถี

                ดร.วิเชียร บอกต่ออีกว่า ในปี 2556 มีการเลือกตั้งนายกสภาทนายความคนใหม่ ท่านเดชอุดม ไกรฤทธิ์ เชิญเข้าร่วมทีมงานเป็นกรรมการสภาฯ เพื่อพัฒนาองค์กรทนายความ นโยบายสำคัญที่เป็นจุดเด่นของทีมคือ จะสร้างที่ทำการสำนักงานสภาทนายความให้ได้ภายใน 3 ปี ซึ่งก็ได้รับการสนับสนุนให้เป็นนายกสภาทนายความ และก็สร้างสำนักงานสภาทนายความเสร็จก่อน 3 ปีจริงๆ แต่เมื่อครบวาระ ทีมอาจารย์อุดมเดชลงแข่งอีกครั้ง แต่ก็แพ้ให้กับทีมของว่าที่ร.ต.ถวัลย์ รุยาพร และลงสมัครใหม่อีกครั้งก็แพ้อีก

“พอในปี 2565 มีการเลือกตั้งนายกสภาทนายความชุดใหม่ ท่านเดชอุดมเคยบอกไว้สมัยที่ทำงานกับทีมของท่านว่า ผมนี่แหละที่เหมาะสมที่สุด ผมตัดสินใจจัดทัพทีมงานลงสมัครทันที โดยชูนโยบาย 6 ด้าน 30 ข้อ ได้รับการตอบรับจากสมาชิกอย่างล้นหลาม จนได้รับคะแนนสียงเลือกตั้งสูงสุดในประวัติศาสตร์ ผมก็ได้บริหารขับเคลื่อนตามนโยบายที่ได้หาเสียงไว้ทันที”

                หากพูดถึงความภูมิใจของผมจริงๆ แล้วผมเคยตั้งปณิธานไว้ว่า ผมได้ยืนมีชีวิตอยู่ตอนนี้สำนึกในใบอนุญาตใบเดียวของผมที่ได้ประกอบวิชาชีพการเป็นทนายความทุกวันนี้ ผลกำไรต่างๆ ที่ได้มาจะกลับคืนสู่สังคม นั่นคือวิชาชีพของผม และสำคัญกว่านั้นคือ ความเป็นนายกสภาทนายความ ซึ่งในระยะเวลาที่ผมเป็นนายกสภาทนายความ 3 ปีจากนี้ไป จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด หัวใจของสภาทนายความ คือการบริการประชาชนตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ถึงตรงนี้ผมว่าสูงสุดแล้ว และจะพัฒนาวิชาชีพทนายความและการให้ความช่วยเหลือทางกฏหมายเพื่ออำนวยความยุติธรรมให้มากที่สุด

                ดร.วิเชียร บอกด้วยว่า “อยากจะฝาก ขอให้ทุกคนมั่นใจสภาทนายความยุคที่ผมเป็นนายกสภาฯ ผมจะให้ความสำคัญ อำนวยความยุติธรรม ทำงานเชิงรุกยกระดับให้มีมาตรฐาน ส่วนผู้ที่มีอาชีพเป็นทนายความ ซึ่งมีใบผู้ประกอบวิชาชีพทนายความ เราต้องช่วยกัน ร่วมกันพัฒนาองค์กร เราต้องเป็นที่พึ่งและศรัทธาของประชาชน พวกเราต้องยึดมั่นในข้อบังคับของมรรยาททนายความเพื่อผดุงศักดิ์ศรี เกียรติภูมิให้เป็นที่ประจักษ์”

 

หนังสือพิมพ์ OPT NEWS ONLINE
วันที่ 16 - 30 กันยายน 2567
อปท.นิวส์เชิญเป็นแขก ดูทั้งหมด
12 ก.ย. 2567
กล่าวได้ว่าบทบาทของตำรวจไทยทั้งในอดีตและปัจจุบัน หลายท่านหลายคน หลังจากผ่านความเหน็ดเหนื่อย ความยากลำบากในการผดุงความยุติธรรม ไล่จับคนร้ายทั้งตัวใหญ่ตัวเล็กมาตลอดชีวิตราชการ เห็นความทุกข์ยาองประชาชน เห็นปัญหาของสังคมในทุกแง่มุม อดไม่ได้ที่หลังเกษียณจะก้าวเข้าส...