ปากเสียงของคนท้องถิ่น เพื่อการพัฒนาประเทศ
อปท.นิวส์เชิญเป็นแขก ย้อนกลับ
พลตำรวจโท ปิยะ ต๊ะวิชัย อดีตผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 (ผบช.ภ.5) กรรมการบริหารและโฆษก พรรคพลังประชารัฐ
12 ก.ย. 2567

กล่าวได้ว่าบทบาทของตำรวจไทยทั้งในอดีตและปัจจุบัน หลายท่านหลายคน หลังจากผ่านความเหน็ดเหนื่อย ความยากลำบากในการผดุงความยุติธรรม ไล่จับคนร้ายทั้งตัวใหญ่ตัวเล็กมาตลอดชีวิตราชการ เห็นความทุกข์ยาองประชาชน เห็นปัญหาของสังคมในทุกแง่มุม อดไม่ได้ที่หลังเกษียณจะก้าวเข้าสู่แวดวงการเมืองเพื่อขยับสถานะเข้ารับใช้ประชาชนในอีกมิติหนึ่ง ไม่ว่าจะเข้าทำงานในพรรคการเมืองหรือก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้แทนราษฎร

            และหนึ่งในมือปราบ แน่นอนย่อมต้องมีชื่อของ “พลตำรวจโท ปิยะ ต๊ะวิชัย” ร่วมอยู่ด้วยอย่างไปต้องสงสัย ที่วันนี้มือปราบท่านนี้ได้ปลดเกษียณแล้วเมื่อ 30 กันยายน 2566 ที่ผ่านมานี้เอง และกำลังก้าวเข้าสู่แวงวงการเมืองในนามของสมาชิกพรรคพลังประชาชน ซึ่งเราอาจจะได้เห็นบทบาทใหม่ที่โดดเด่นในทางการเมือง ที่ไม่แพ้หรือยิ่งหย่อนไปกว่าการทำหน้าผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ของเขาในไม่ช้านี้

พลตำรวจโท ปิยะ หรือ “บิ๊กต๊ะ” เป็นชาวสัตตหีบ ชลบุรี เป็นลูกชายคนที่ 2 จาก 3 คน ของ “น.อ.ประสิทธิ์ ต๊ะวิชัย” รน. อดีตหัวหน้ากองการฝึกทหารใหม่ กองเรือยุทธการ ความฝันในวันเด็กอยากเป็นทหารเรือเหมือนพ่อ หลังจบมัธยมปลายปลายที่สัตหีบ ชลบุรี ถิ่นเกิด ตั้งเป้าเข้าเตรียมทหาร แต่โชคชะตาก้พลิกผันให้ได้เข้ามาเรียนโรงเรียนนายร้อยตำรวจ จบ นรต. รุ่น 38 เมื่อ พ.ส. 2528 ได้รับรางวัลเรียนดี ลำดับที่ 3 จากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พลเอกสิทธิ จิระโรจน์ เพื่อนร่วมรุ่น ที่สำคัญ ได้แก่ พลตำรวจเอกดำรงศักดิ์ กิตติประพัฒน์ ผบ.ตร.(เรียนดีลำดับที่2) พลตำรวจเอกปิยะ อุทาโย (เรียนดีลำดับที่1) รอง ผบ.ตร., พลเอก ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้  ผบ.ทบ., พลอากาศเอก อลงกรณ์ วัณณรถ ผบ.ทอ., พลเรือเอก เชิงชาย ชมเชิงแพทย์ ผบ.ทร., พลเอก ธรรมนูญ วิถี ผู้ช่วย ผบ.ทบ, พลตำรวจโท ภคพงษ์ พงษ์เภตรา ผบช.น., พลเอก เกรียงไกร ศรีรักษ์ แม่ทัพภาค4 และ พลโท สุริยะ เอี่ยมสุโร แม่ทัพภาค 3 จึงไม่ผิดที่กล่าวกันว่า พลตำรวจโท ปิยะ เป็นผู้มีคอนเนคชั่นที่ดีผู้หนึ่ง

ต่อมาเข้าศึกษาระดับปริญญาโท บริหารธุรกิจมหาบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เมื่อ พ.ศ. 2540 และบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ เมื่อ พ.ศ. 2549  ระดับปริญญาเอก การจัดการดุษฎีบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต เมื่อ พ.ศ. 2558 พร้อมประกาศดุษฎีนิพนธ์ระดับยอดเยี่ยม และได้รับพระราชทานปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาบริหารศาสตร์ ประจําปีการศึกษา 2565 จากมหาวิทยาลัยแม่โจ้

พลตำรวจโท ปิยะ ต๊ะวิชัย เข้ารับราชการและเจริญก้าวหน้ามาเป็นลำดับ โดยเขาเคยเปิดเผยไว้ว่า ถนนสีกากีเริ่มที่จักรวรรดิ มาเป็น รอง สว.สืบสวนสอบสวน สมัยก่อนสืบสวนสอบสวนจะอยู่ด้วยกัน พอทำสอบพักหนึ่งเขาให้เป็นหัวหน้าสายสืบ แล้วสลับไปมาระหว่างสอบกับสืบ เราจะได้ทั้ง 2 มุมมอง ทั้งสอบสวน คือรวบรวมพยานหลักฐานที่จะดำเนินคดีกลุ่มผู้ต้องหา อีกมุมหนึ่งคือการแสวงหาพยานหลักฐาน คือทั้งแสวงหา และรวบรวมจะเป็นมุมมองที่ทำให้เกิดผลสัมฤทธิ์ในการฟ้องศาลนำผู้ต้องหาสู่กระบวนการบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นรูปธรรมและสัมฤทธิ์ผล

จากจักรวรรดิ ไปเป็นผู้บังคับหมวดโรงเรียนเตรียมทหาร ออกมาเป็นรอง สว.ส.สน. พระราชวัง นายเวรท่าน พล.ต.ต. วาทิน คำทรงศรี ผู้การกองทะเบียนต่างด้าวและภาษีอากร ปัจจุบันเป็น ปอศ. กองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ  ลงจากนายเวร เป็น สว.ธุรการกำลังพล สว.ภาษี กรุงเทพฯ หรือ สว.งาน 1 กก.1  สศก. จากนั้นเป็น รอง ผกก.ข่าว ที่สอบสวนกลาง เป็น รอง ผกก.3 กองทะเบียน ดูแลเรื่องเซ็นเซอร์ภาพยนตร์

ติดยศ พันตำรวจเอกในตำแหน่ง ผกก.2 สำนักงานวิทยาการตำรวจ ปี 2544 ก่อนปรับปรุงโครงสร้างเป็นสำนักงานพิสูจน์หลักฐานทุกวันนี้ ปี 2546 มาเป็น ผกก.สน.โชคชัย คือช่วงหนึ่งของชีวิตรับราชการ เป็นช่วงที่กำหนดทิศทางการบริหารงานได้ จะเริ่มจาก ผกก.โรงพัก มีกำลังพลของตนเอง สามารถควบคุมลูกน้องให้ดูแลพี่น้องประชาชน ไปรับฟังปัญหาประชาชนมาแก้ สมัยนั้นโชคชัยเป็นโรงพักที่เรียกว่า “นรกบนดิน” คือ มันเป็นโรงพักที่มีความเจริญอย่างก้าวกระโดด แล้วปัญหาการปรับตัวของเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลง นั่นคือปัญหาตำรวจรุ่นเก่าในสมัยนั้น  เขาจะไม่ค่อยยอมรับการเปลี่ยนแปลงจะหนีปัญหา ปรับจูนจนได้ที่ 1 โรงพักเพื่อประชาชน.

“ตอนนั้นอายุแค่ 30 ต้นๆ เมื่อเทียบกับป๋าๆ ที่อายุ 50 กว่า ใกล้ 60 เขาจะมองเราคนละชั้น แต่เราปรับจูนความคิดเพื่อการพัฒนา แล้วก็ให้เขาช่วยกัน ตอนนั้นทำให้โรงพักโชคชัยจากอันดับกลางๆค่อนไปทางท้ายๆขึ้นอันดับ 1 โรงพักเพื่อประชาชน”

จากโชคชัยไปวังทองหลางอยู่แป็บเดียว ปี 49 โยกมา ผกก.ปราบปรามยาเสพติด ท่านสุวัฒน์ จันทร์อิทธิกุล ผบช.ปส. เอาไปช่วยพัฒนางานสอบสวนยึดทรัพย์ เป็นช่วงแรกๆ ที่นำเรื่องยึดทรัพย์มาใช้กับผู้ค้ายาเสพติด เมื่อก่อนเรามองมิติเดียวคือจับดำเนินคดีผู้กระทำผิด ไม่เคยทำลายกำลังหรือฐานทางเศรษฐกิจ หรือกองหนุนกลุ่มผู้ค้ายาเสพติดเราจึงใช้มาตรฐานยึดทรัพย์ ศึกษากฎหมายยาเสพติดของ 10 ประเทศหลัก โดยเฉพาะอเมริกา เม็กซิโก อังกฤษและอื่นๆ ที่มีการดำเนินคดีเกี่ยวกับยาเสพติด ยึดทรัพย์ ก็เอากฎหมายตรงนี้มาใช้ อยู่วางรากฐานได้ปีหนึ่ง ขึ้นรอง ผบก.น.อีก 2  ปี

“จากนั้นติดยศนายพลเป็นเลขานุการกรมตำรวจอยู่ปีหนึ่ง แล้วก็ไปเป็น เป็น ผบก.จร.ปี 2556 ถือเป็นเกียรติประวัติ เพราะในช่วงหนึ่งของชีวิตคน ในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านจะเสด็จออกมหาสมาคมฯ 2 ครั้ง แล้วครั้งที่ 2 เป็นครั้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ในฐานะ ผบก.จร.เป็นผู้ที่จะต้องควบคุมขบวนเสด็จฯ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ในการออกมหาสมาคมฯ ในผู้การจราจรทั้งหมด 40 กว่าเกือบ 50 คน มีแค่ 2 คน แค่นั้นเองที่ได้มีโอกาส”

เป็นปีหนึ่ง มาเป็น ผบก.น.7 เป็น ผบก.กองวิจัย ขึ้น รอง ผบช.เทคโนโลยี รอง ผบช.ศตร. รอง ผบช.ตชด. รอง ผบช.น.ไปครบหมดเลย ไปเรียนรู้เรื่องกฎระเบียบเกี่ยวกับการบริหารราชการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อยู่นครบาล 2 ปี แล้วก็มาเป็น ผบช.ภ.5 วาระ ต.ค.2564  ดูแลพื้นที่ภาคเหนือตอนบน ประกอบด้วย เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง แพร่ น่าน พะเยา แม่ฮ่องสอน

เป็นพื้นที่สำคัญที่มีการลักลอบนำเข้ายาเสพติดเข้ามาทำร้ายประชาชนชาวไทย ระหว่างที่ดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารระดับสูง ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบาย กำกับดูแลควบคุมการบริหารงานในองค์กรตำรวจภูธรภาค 5 เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน โดยนำเทคโนโลยีเข้ามาพัฒนาระบบการทำงาน มีการวิจัยและพัฒนาระบบงานตำรวจอย่างต่อเนื่อง มีการควบคุมคุณภาพการบรหารจัดการงานที่อยู่ในความรับผิดชอบภายใต้มาตรฐานสากลทั้งด้านการสืบสวนการป้องกันและปราบปรามความมั่นคง การอำนวยการยุติธรรมและการบริหารจัดการองค์กรสู่ความสำเร็จพร้อมให้บริการแก่ประชาชนและสังคม และได้รับการยกย่องจากหน่วยงานต่างๆ อย่างต่อเนื่อง 

90

“ผลงานที่สำคัญด้านการปราบปรามยาเสพติด ยอดรวมการจับกุมยาเสพติดของ ตร.ภาค5 ในปี พ.ศ. 2565 มากถึง 185,000,000 เม็ด ถือเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ (จากยอดรวมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 350 ล้านเม็ด) จนได้รับคำชมเชยจากนายกรัฐมนตรี ผู้บังคับบัญชาและหน่วยงานอื่นๆทั้งในประเทศและต่างประเทศ จนได้รับฉายาจากสมาคมผู้สื่อข่าว และช่างภาพอาชญากรรม ว่า “มือปราบยานรก”

ผลงานที่โดดเด่น ของพลตำรวจโท ปิยะ ต๊ะวิชัย อีกเรื่องหนึ่งคือ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง รอง ผบช.น. คือ การเป็นโฆษก บช.น. การปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา ได้รับฉายา “ไม้บรรทัดวัดตำรวจ” การทำหน้าที่โฆษก บช.น. ในครั้งนี้ เหมือนเป็น “หนังหน้าไฟ” ไว้คอยแถลงรายละเอียด มาตรการ และการดำเนินการและการดำเนินคดีกับกลุ่มผู้ชุมนุม ตลอดจนชี้แจงเรื่องราวต่างๆ ด้วยความความเชี่ยวชาญชำนาญในตัวบทกฏหมายทำให้ชื่อชั้นของ “บิ๊กต๊ะ” เป็นที่โดดเด่นขึ้นอีกครั้ง การทำหน้าที่ให้ข้อมูลข่าวสารอย่างตรงไปตรงมา การปฏิบัติต่อกลุ่มผู้ชุมนุมโดยใช้หลักนิติรัฐ ควบคู่กับการบังคับใช้กฎหมายอย่างไม่เว้นหน้า ไม่ว่าจะเป็นข้างไหน ทำให้การควบคุมสถานการณ์เป็นไปอย่างสงบและเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย จนได้รับฉายา “เปาปุ้นจิ้นหน้าขาว” จากสมาคมผู้สื่อข่าว และช่างภาพอาชญากรรม ในปี พ.ศ.2563

นอกจากนี้ ผลงานในระดับประเทศทางด้านการถวายและรักษาความปลอดภัยพระบรมวงศานุวงศ์ การดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยและการอำนวยความสะดวกผู้บุคคลสำคัญต่างๆ เป็นที่โดดเด่น ได้รับมอบหมายจากรัฐบาล และ สำนักงานตำรวจแห่งชาติให้รับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็นการเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนคร โดยขบวนพยุหยาตราทางสถลมารค เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2562 (พื้นที่โซนห้าและพื้นที่ตอนใน) และการเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนคร โดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก (พื้นที่ศิริราชและฝั่งธนบุรี) ในเดือนธันวาคม พ.ศ.2562  การรักษาความปลอดภัยและการอำนวยความสะดวกการจราจร ในโอกาสที่นายบารัค โอบาม่า ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกามาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555, เป็นผู้รับผิดชอบในการรักษาความสงบเรียบร้อยและดูแลพื้นที่ (โซนกลาง) ในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 34 (34th Asian summit) ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพในเดือนมิถุนายนและพฤศจิกายน 2562  ด้วยความตั้งใจ ทุ่มเทในการทำงาน จึงทำให้ พล.ต.ท.ปิยะฯ เป็นที่รู้จัก มีความสัมพันธ์และสนิทสนมกับคณะฑูตานุทูตและทีมงานองค์การระหว่างประเทศเป็นอย่างดี

ผลงานที่ประทับใจอย่างสูงสุด ได้แก่ การถวายและรักษาความปลอดภัยฯ และการอำนวยความสะดวกการจราจรในการเสด็จออกมหาสมาคมในพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา พ.ศ. 2555 ณ สีหบัญชร พระที่นั่งอนันตสมาคม พระราชวังดุสิต โดยเป็นนั่งรถนำขบวนเสด็จ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ผู้บังคับการตำรวจจราจร ซึ่งถือเป็นเกียรติประวัติสูงสุดในชีวิตรับราชการ

ชีวิตการรับราชการและส่วนตัว ได้น้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อดำรงตนแบบตำรวจมืออาชีพจนเป็นแบบอย่างในการปฏิบัติทั้งในระดับภูมิภาคและระดับประเทศ ช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตข้าราชการตำรวจพร้อมกับการเสริมสร้างชุมชนเข้มแข็งให้มีการพัฒนาด้วยแนวทางการดำเนินงาน 2 ประการ คือ การถ่ายทอดความรู้เป็นการพัฒนาประสิทธิภาพการบริหารจัดการงานต่างๆ ให้เกิดผลการปฎิบัติที่ดีและคุ้มค่า และการต่อยอดทางปัญญา ด้วยการนำความรู้ ความชำนาญทักษะต่างๆ และเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนางาน จนเกิดนวัตกรรมใหม่ ที่ตรงกับความต้องการและสร้างสรรค์งานให้แก่สังคม

ลักษณะเด่นประการหนึ่ง ของ พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย คือ ความรักและความห่วงใยผู้ใต้บังคับบัญชา ดูแลสวัสดิการ สร้างความเป็นธรรมในการเจริญก้าวหน้าในหน้าที่ราชการโดยยึดหลัก คนทำงานดี ตั้งใจทำงานจะต้องได้รับผลตอบแทน เราจึงมักเห็นเสมอว่า ไม่ว่าท่านจะไปตรวจตราตามจุดตรวจหรือจุดสกัด หรือสถานีตำรวจจะนำสิ่งของ เครื่องอุปโภคและบริโภค ตลอดจนอุปกรณ์และงบประมาณที่ใช้ในการดำเนินงานนำไปให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเสมอ

พลตำรวจโท ปิยะ ต๊ะวิชัย ได้อุทิศตนเพื่อสังคมโดยเป็นวิทยากรถ่ายทอดความรู้ประสบการณ์ เกี่ยวกับการบริหารองค์กรที่ประสบความสำเร็จการพัฒนางานตำรวจการขับเคลื่อนองค์กรแล่ะงานด้านการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมประเภทยาเสพติดรวมถึงนำเสนอข้อมูลวิชาการเทคโนโลยีใหม่ๆ และแนวคิดการพัฒนางานตำรวจ ให้แก่หน่วยงานรัฐบาล สถาบันการศึกษา มาอย่างต่อเนื่อง

“โดยที่ พลตำรวจโท ปิยะ ต๊ะวิชัย เป็นผู้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน เป็นผู้เสียสละกำลังกาย กำลังใจ กำลังสติปัญญาและกำลังทรัพย์ ในการสนับสนุนช่วยเหลือสังคมและชุมชน เพื่อความเจริญก้าวหน้าของข้าราชการตำรวจไทย โดยอาศัยเทคโนโลยีเป็นฐานในการพัฒนาจนเป็นที่ประจักษ์แก่สาธารณชน รวมทั้งเป็นผู้ทำคุณประโยชน์สำคัญให้แก่สถาบันเป็นอเนกประการบำเพ็ญกรณียกิจด้วยความคิดริเริ่มได้รับการยอมรับจากทั้งองค์กรภาครัฐและเอกชน อีกทั้งได้อุทิศตนให้เป็นประโยชน์แก่สังคมอย่างอเนกอนันต์ เป็นผู้เพียบพร้อมด้วยคุณธรรมและจริยธรรม จึงนับได้ว่าเป็นบุคคลที่มีเกียรติประวัติและมีคุณสมบัติเหมาะสม สมควรได้รับพระราชทานปริญญาปรัชญาดุษฏีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาบริหารศาสตร์ เพื่อเป็นเกียรติประวัติสืบไป” นี่คือ ข้อความส่วนหนึ่งสูจิบัตรพิธีพระราชทานปริญญาบัตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ครั้งที่ 45 ประจําปีการศึกษา 2565

หลังจากโลดแล่นการเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์มาอย่างยาวนาน วันนี้ พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย ได้ถูกทบทามเข้าสู่แวดวงการเมืองแล้วในนามพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งแน่นอนว่าประสบการณ์ที่ผ่านมาอย่างโชกโชน ได้เรียนรู้ผู้คนในทุกระดับทุกแง่มุม จัมีส่วนอย่างยิ่งให้การทำหน้าที่ทางการเมืองของ พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย ไปถึงฝั่งฝันต่อหน้าที่การงานทางด้านการเมืองอย่างไม่ต้องสงสัย

หนังสือพิมพ์ OPT NEWS ONLINE
วันที่ 16 - 30 กันยายน 2567
อปท.นิวส์เชิญเป็นแขก ดูทั้งหมด
12 ก.ย. 2567
กล่าวได้ว่าบทบาทของตำรวจไทยทั้งในอดีตและปัจจุบัน หลายท่านหลายคน หลังจากผ่านความเหน็ดเหนื่อย ความยากลำบากในการผดุงความยุติธรรม ไล่จับคนร้ายทั้งตัวใหญ่ตัวเล็กมาตลอดชีวิตราชการ เห็นความทุกข์ยาองประชาชน เห็นปัญหาของสังคมในทุกแง่มุม อดไม่ได้ที่หลังเกษียณจะก้าวเข้าส...