นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ออกมาระบุว่า การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในกรอบเวลาไม่เกินเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ว่า คำกล่าวของนายกฯ อาจสร้างความเชื่อมั่นได้ระดับหนึ่ง แต่ยังไม่สามารถสร้างความมั่นใจได้เต็มร้อย เพราะนายกฯ พูดถึงกำหนดการเลือกตั้งต่อนานาชาติมาแล้วถึง 3 ครั้ง คือพูดต่อหน้านายชินโสะ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นว่า จะมีเลือกตั้งภายในปลายปี 2558 ต้นปี 2559 จากนั้นก็ไปกล่าวสุนทรพจน์ในที่ประชุมสหประชาชาติว่า จะมีการเลือกตั้งภายในปี 2560 พอปี 2560 ไม่มีเลือกตั้ง ก็ไปกล่าวต่อหน้านายโดนัล ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาว่าจะจัดการเลือกตั้งภายในเดือน พ.ย. 2561
แต่การพูดถึงกำหนดการเลือกตั้งทั้ง 3 ครั้งที่ผ่านมา ก็ไม่สามารถทำตามที่พูดได้ การออกมาพูดถึงกำหนดการเลือกตั้งไม่เกินเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ครั้งล่าสุด จึงเป็นคำยืนยันที่ไม่ก่อให้เกิดความมั่นใจแต่อย่างใด
ถ้านายกฯ อยากให้ผู้คนในสังคมมั่นใจในคำพูดของตนเอง นายกฯ ก็ต้องมีการกระทำที่ทำให้ผู้คนในสังคมเกิดความมั่นใจได้ดังนี้
1. ผ่านกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งอีก 2 ฉบับ คือ กฎหมายเลือกตั้ง ส.ส. และกฎหมายการได้มาซึ่ง ส.ว. ภายในกำหนดระยะเวลาที่เหมาะสม โดยไม่มีการคว่ำกฎหมายเกิดขึ้นในการพิจารณาของ สนช.
2. เปิดโอกาสให้มีการปฏิบัติตามกฎหมายได้หลังจากกฎหมายมีผลบังคับใช้ ไม่ควรดำเนินการใดๆ ให้ไม่สามารถปฏิบัติได้เหมือนอย่างกรณีกฎหมายพรรคการเมืองที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ ต.ค. 2560 แต่ คสช. ก็ไม่ยอมปลดล็อคทำให้ไม่สามารถปฏิบัติตามกฎหมายได้
3. ไม่ใช้อำนาจของ คสช. ออกคำสั่งใดๆ ไปแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งอันจะทำให้การเลือกตั้งต้องเลื่อนออกไป
นายองอาจกล่าวต่อไปว่า ถ้านายกฯ สามารถทำได้ตามข้อเสนอดังกล่าว ก็จะทำให้ผู้คนในสังคมเกิดความมั่นใจได้อย่างแน่นอน แต่ถ้านายกฯ ไม่สามารถทำได้ ความมั่นใจก็จะไม่เกิดขึ้น ก่อให้เกิดความไม่เชื่อมั่นตามมา และอาจเป็นชนวนเหตุให้เกิดปัญหาบานปลายกลายเป็นผลร้ายต่อนายกฯ ได้ในที่สุด