กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศแนะผู้ผลิต ผู้ส่งออกรังนกไทยไปจีน ต้องเข้มควบคุมคุณภาพ มาตรฐานป้องกันไม่ให้มีสารตกค้าง หลังจีนปลดล็อกให้นำเข้าได้ตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา ย้ำหากทำได้ดี ไทยมีโอกาสชิงส่วนแบ่งตลาดรังนกจากคู่แข่งได้เพิ่มขึ้นแน่
นางจันทิรา ยิมเรวัต วิวัฒน์รัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักงานควบคุมคุณภาพตรวจสอบและกักกันโรคแห่งท่าอากาศยานนานาชาติไป๋หยุน เมืองกวางโจว
ได้สรุปผลการนำเข้ารังนกนางแอ่นจากต่างประเทศ พบว่า มีปริมาณเพิ่มขึ้นจาก 20 ตันในปี 2558 เป็น
80 ตันในปี 2560 หรือมีอัตราเติบโตเกิน 100% ต่อปี ตามความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเป็นการนำเข้าจากไทย อินโดนีเซียและมาเลเซีย ทำให้เป็นโอกาสของรังนกไทยที่จะเพิ่มและขยายส่วนแบ่งในตลาดจีนได้เพิ่มมากขึ้น
“ทั้งนี้ ในการขยายตลาดรังนกในจีน ผู้ผลิต ผู้ส่งออกไทยจะต้องรักษาคุณภาพและมาตรฐานให้ดีต่อเนื่องและต้องปฏิบัติตามข้อตกลงที่ได้ทำกับจีนไว้อย่างเคร่งครัด เพราะรังนกไทยมีศักยภาพและคุณภาพสูงเมื่อเทียบกับรังนกของคู่แข่ง โดยเนื้อแน่น หอมนุ่ม และไม่ละลายง่าย ทำให้เป็นที่ต้องการของผู้บริโภคในตลาดจีน ที่มักนิยมซื้อไปให้ผู้ป่วยบริโภคหรือให้เป็นของขวัญแก่ผู้ใหญ่” นางจันทิรากล่าว
ก่อนหน้านี้ เมื่อ 5 ปีที่แล้ว จีนได้ห้ามนำเข้ารังนกจากทุกประเทศ เนื่องจากตรวจสอบพบสารไนไตรท์เกินมาตรฐานในรังนกแดงที่นำเข้าจากมาเลเซีย จนส่งผลกระทบทำให้ราคารังนกในแหล่งผลิตสำคัญตกต่ำลง แต่ไทยโดยสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) ได้ร่วมกับกรมปศุสัตว์ดำเนินการเจรจาจนสามารถลงนามพิธีสารว่าด้วยข้อกำหนดการตรวจสอบกักกันโรคและสุขอนามัยสำหรับผลิตภัณฑ์ รังนกที่ส่งออกจากไทยไปจีน โดยกระทรวงควบคุมคุณภาพตรวจสอบและกักกันโรคของจีนได้ออกประกาศอนุญาตนำผลิตภัณฑ์รังนกของไทยได้ตั้งแต่วันที่ 28 ส.ค.2560 ที่ผ่านมา
ปัจจุบันจีนเป็นตลาดนำเข้ารังนกที่ใหญ่ที่สุดของไทย โดยนำเข้าผ่านท่าอากาศยานนานาชาติไป๋หยุน ซึ่งเป็นด่านนำเข้ารังนกนางแอ่นที่ใหญ่ที่สุดของจีน และในปัจจุบันตลาดรังนกนางแอ่นในจีน เริ่มมีปัญหาสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานและสินค้าปลอม ซึ่งทางการจีนได้ออกมาให้คำแนะนำผู้บริโภคให้เลือกซื้อของแท้ โดยสังเกตจากปัจจัยดังต่อไปนี้ คือ 1.นำเข้าโดยผ่านพิธีการศุลกากรอย่างถูกต้อง 2.ผลิตจากแหล่งที่มาและโรงงานผลิตที่สามารถตรวจสอบได้ และมีใบอนุญาตถูกต้องตามกฎหมาย