ปากเสียงของคนท้องถิ่น เพื่อการพัฒนาประเทศ
อปท.นิวส์เชิญเป็นแขก ย้อนกลับ
แพ ภาวนา ของ หลวงปูจันทร์เรียน ใช้ไม้พื้น TPI ครับ ... ท่านไปใช้บ่อยมาก
14 ธ.ค. 2558

หลวงปู่จันทร์เรียน 
วัดถ้ำสหาย (วัดถ้ำสหายจันทร์นิมิต) 
หมู่ที่ ๓ ต.ทับกุง อ.หนองแสง จ.อุดรธานี 

ท่านเป็นลูกศิษย์อาวุโส 
ของหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ, หลวงปู่ชอบ ฐานสโม 
และหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน มหาบุรุษผู้ยิ่งใหญ่

วงปู่จันทร์เรียน คุณวโร พระผู้มีปัญญาหลักแหลม
เป็นที่หนึ่งในศิษย์ “ทายาทธรรม” ของหลวงปู่ชอบ ฐานสโม 


เมื่อเดือนมกราคม ปีพุทธศักราช ๒๕๐๘ ณ วัดป่าสัมมานุสรณ์
บ้านโคกมน ตำบลผาน้อย อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย
ปีนั้นอากาศที่เมืองเลยหนาวมากจนมือเท้าเป็นตะคริว
หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ท่านจึงพาพระเณร ตาผ้าขาว
ออกไปหาฟืนในบริเวณป่ารอบๆ หมู่บ้านโคกมน

หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร เล่าว่า
หลวงปู่ชอบท่านเป็นผู้ที่มีความละเอียดอ่อน
รู้คุณค่าของเครื่องใช้ไม้สอยทุกอย่าง
ไม้ฟืนหากนำมาก่อไฟหุงต้มแล้วหากฟืนท่อนนั้นยังเหลือ
หลวงปู่ท่านจะเอาน้ำมาดับไฟให้มอดสนิท
และองค์ท่านจะจัดเก็บฟืนท่อนนั้นไว้ใช้หุงต้มในครั้งต่อๆ ไป
ท่านจะไม่ทิ้งฟืนให้ไหม้ไฟไปโดยเสียประโยชน์


หลวงปู่ชอบท่านจะไม่ให้พระเณรเถรชีในวัดก่อไฟผิงแก้หนาว
ท่านจะให้ลูกศิษย์แก้หนาวโดยการเดินจงกรมให้มากๆ
เพื่อปลุกเร้าธาตุไฟอบอุ่นร่างกาย
เว้นไว้แต่พระเณรเถรชีรูปนั้นๆ มีอาพาธรบกวนธาตุขันธ์
ท่านจึงจะอนุญาตให้ก่อไฟผิง

องค์ท่านเทศน์สอนลูกศิษย์ว่า ถ้ามัวแต่พากันมานั่งสุมหัวผิงไฟ
มันก็จะสุมหัวคุยกันตามประสากิเลสกิโลมันจะพาคุย
เรื่องที่คุยกันก็มีแต่เรื่องกิเลสตัณหาลามก
คุยกันแล้วก็ไม่พากันทำความเพียรเดินจงกรมภาวนา
พอดึกค่อนคืนก็ง่วงเหงาหาวนอน ต่างคนต่างคลานเข้ามุ้ง
ไปนอนกอดอีสาดอีหมอนทิ้งวันทิ้งคืนไปเฉยๆ

เอะอะขึ้นมาพออากาศหนาวนิดๆ หน่อยๆ
มันก็จะพากันเตรียมก่อไฟผิงอย่างเดียว
มัวแต่ห่วงร้อนห่วงหนาวอยู่อย่างนี้
เวลาไปอยู่ในป่าในเขาเจออากาศที่มันเย็นหนาวมหาโหดแล้ว
มันจะไม่พากันแข็งกระด้างค้างตายกันหรือ
ต้องฝึกฝนตนเองให้อยู่ได้กับทุกสภาพอากาศซิ
ฝึกตนเองให้อยู่กับร้อนให้เป็นอยู่กับเย็นให้ได้
ถ้าอยากอยู่สบายจริงต้องอยู่กับทุกข์ให้เป็น
เอาทุกข์เวทนานั้นแหละมาฝึกฝนจิตใจของตนเองให้เข้มแข็ง

ถ้าหนาวมากก็อย่านอนขดอี้จู้เป็นครูหมอนกิ่ว
ถ้านั่งภาวนาอาการเหน็บชามันก็จะเกิดเร็ว
เวทนามันก็จะโหมใจอย่างหนัก ให้เดินจงกรมเอา
เดินให้มากๆ เดินให้นานๆ เดินเพื่อปลุกเร้าธาตุไฟ
ให้มาช่วยสร้างความอบอุ่นแก่ร่างกาย
หัดมีปัญญาตั้งแต่หนุ่มแต่น้อยสิ
เฒ่าชะแรแก่ชราแล้วมันจะได้ไม่โง่เง่าเต่าตุ่น
จะได้เอาสติปัญญาที่ตนฝึกฝนอบรมมา
ไปบอกสอนคนรุ่นหลังเพื่อสืบทอดปัญญาต่อๆ ไป...


หลวงปู่จันทร์เรียนถ่ายทอดคำสอนขององค์หลวงปู่ชอบ
โดยท่านหัวเราะอย่างใหญ่ ท่านปล่อยเสียงหัวเราะออกมาจนลั่นถ้ำสหายฯ
เวลาหลวงปู่จันทร์เรียนเล่าเรื่ององค์หลวงปู่ชอบแล้ว
ดูสีหน้าแววตาท่านฮึกเหิมห้าวหาญดี
ฟังท่านเล่าแล้วเราพลอยสนุกสนานไปกับท่าน ถึงแม้จะต่างยุคสมัยกันก็ตาม

พระเณรเถรชีที่อยู่ปฏิบัติกับองค์หลวงปู่ชอบสมัยก่อน
แต่ละท่านจึงมีความอดทนต่อดินฟ้าอากาศ และความหิวโหยมากเป็นพิเศษ
เรื่องใดที่องค์หลวงปู่ชอบสั่งห้ามแล้ว พระเณรเถรชีจะต้องถือปฏิบัติกันให้ได้
หากผู้ใดปฏิบัติตามคำสั่งสอนขององค์ท่านไม่ได้แล้ว
จะอยู่ปฏิบัติร่วมสำนักกับท่านไม่ได้
พระเณรสมัยนั้นจึงไม่มีใครกล้าดื้อด้านฝืนคำขององค์ท่าน...

หลวงปู่จันทร์เรียนท่านว่าปีนั้นอากาศมันหนาวมาก
แม่ชีที่วัดจึงพากันแอบเอาฟืนที่หลวงปู่ชอบและพระเณรหามาไปก่อไฟผิง
แม่ชีพากันนั่งผิงไฟคุยกันจนดึกดื่นค่อนคืนจึงแยกย้ายกันกลับที่พัก
โดยทิ้งท่อนฟืนไหม้ไฟไว้เป็นอนุสรณ์
การพูดคุยสนทนากันของแม่ชีกลุ่มนี้ในคืนนั้น
หลวงปู่จันทร์เรียนว่าคงจะมีเรื่องอะไร
ที่ไปกระทบกับ “ความรู้” ขององค์หลวงปู่ชอบ


พอรุ่งเช้าก่อนที่องค์ท่านจะออกไปบิณฑบาต
หลวงปู่ชอบท่านพาหลวงปู่จันทร์เรียนเดินไปดูที่โรงครัววัดป่าสัมมานุสรณ์
เดินตรงดิ่งมาที่กองไฟข้างโรงครัว
หลวงปู่ท่านเห็นท่อนฟืนไหม้ไฟทิ้งไว้อย่างเสียประโยชน์
องค์ท่านถึงกับพูดขึ้นมาว่า...

“ปาดโธ้ พวกนกกระยางขาวหมู่นี้
มันคือพากันมักง่ายใช้ของบ่เป็นแท้
มันบ่คิดเห็นอกเห็นใจพ่อแก่มันบ่
มันบ่คิดเห็นอกเห็นใจพระเณรเถรเฒ่าบ้างหรือ
มันบ่ฮู้หรือว่าพ่อแก่ของมันกับพระเณร
พากันไปลากฟืนจากป่ามาเมื่อยขนาดไหน
มันพากันเอาฟืนมาสุมไฟคุยกันเล่นจนดึกดื่น
ทิ้งให้ไหม้ไปโดยไม่เกิดประโยชน์อะไร”

พอว่าจบหลวงปู่ชอบท่านเดินเข้าไปดุแม่ชีที่โรงครัว
เล่นเอาแม่ชีโขลกพริกไม่แหลก สับมะละกอไม่เป็นเส้น
มือสั่นใจสั่นกันทั้งโรงครัว องค์ท่านดุให้แม่ชีอย่างหนัก
และไล่แม่ชีหนีให้ไปอยู่ที่วัดอื่น
เล่นเอาแม่ชีกลุ่มนี้คอพับน้ำตาร่วงต่อหน้าองค์ท่าน
หลังจากหลวงปู่ท่านดุแม่ชีแล้ว
องค์ท่านก็ออกไปบิณฑบาตในหมู่บ้านโคกมน

หลังฉันอาหารเสร็จแล้วหลวงปู่ท่านบอกหลวงปู่จันทร์เรียน
และพระเณรว่า ให้ท่านจันทร์เรียนกับพระเณรทั้งหมด
เอาบริขารไปเก็บไว้ที่กุฏิแล้วพากันออกมารวมตัวกันที่ศาลา
เรามอบหมายให้ท่านจันทร์เรียนเป็นหัวหน้า
พาพระเณรไปรื้อกุฏิแม่ชีออกจากวัดให้หมดทุกหลัง
อย่าให้หลงเหลือแม้แต่หลังเดียว
พวกนกกระยางขาวหมู่นี้เราจะไม่ให้อยู่ที่นี่อีกต่อไป
พวกว่ายากสอนยากแบบนี้เราจะไม่เอาไว้ให้หนักวัดหนักวา


คำสั่งองค์ท่านดูดุดันเด็ดขาด เล่นเอาพระเณรในวัดงงไปตามกัน
แต่ไหนแต่ไรก็เห็นแต่องค์ท่านไล่พระเณรเถรชี
ที่ว่ายากสอนยากให้ออกไปจากสำนักเท่านั้น
แต่ครั้งนี้หลวงปู่ท่านถึงกับสั่งให้รื้อถอนกุฏิแม่ชีออกไปจากวัดทั้งหมด
พระเณรได้แต่สงสัยไม่มีใครกล้าที่จะถามถึงเหตุผลจากองค์ท่าน

เมื่อพระเณรเอาบริขารของตนเองไปเก็บยังที่พักแล้ว
ต่างองค์ต่างหยิบเอาเครื่องมือในการรื้อถอนมารวมตัวกันที่ศาลา
หลวงปู่จันทร์เรียนท่านบอกกับหมู่เพื่อนว่า
พวกท่านไม่ต้องทำหรอก พากันกลับไปกุฏิเดินจงกรมภาวนาซ่ะ
เรื่องนี้ผมจะเป็นคนทำเองเพียงผู้เดียวเอง


หมู่เพื่อนถามท่านว่าครูบาจะทำองค์เดียวได้หรือ
กุฏิแม่ชีมีตั้งหลายหลัง กว่าจะรื้อถอนได้ทั้งหมด
ก็กินเวลาไปหลายวันถึงจะเสร็จ

หลวงปู่จันทร์เรียนบอกหมู่คณะว่า ไม่เป็นไรหรอก
ผมทำองค์เดียววันเดียวก็เสร็จ
ท่านบอกหมู่เพื่อนให้กลับไปกุฏิเดินจงกรมภาวนาเถอะ
เรื่องนี้ท่านจะเป็นธุระจัดการเอง
หมู่เพื่อนจึงพากันแยกย้ายกลับไปยังที่พักของตน

พอคล้อยหลังที่หมู่เพื่อนกลับไปแล้ว หลวงปู่จันทร์เรียนท่านก็เดินไปยังที่พัก
ขององค์ท่านหลวงปู่ชอบ ที่ริมฝากฝั่งแม่น้ำสวย
หลวงปู่จันทร์เรียนเข้าไปกราบเรียนองค์ท่านหลวงปู่ชอบว่า

ขอโอกาสขอรับพ่อแม่ครูบาอาจารย์
ข้าน้อยมีเรื่องอยากกราบเรียนครูบาอาจารย์ซักเล็กน้อย
ข้าน้อยคิดว่าการรื้อถอนกุฏิแม่ชีออกไปทั้งหมดนั้นมันเป็นเรื่องไม่ยากหรอก
ใช้เวลาวันเดียวก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว เพื่อเป็นการตัดปัญหาทั้งหมด
ข้าน้อยว่าไม่ต้องรื้อมันหรอกกุฏิแม่ชี เอาไฟเผามันทิ้งทุกหลังไปเลยขอรับ
เอาไฟเผาทิ้งทั้งหมดไม่ต้องให้มันเหลือซากเหลือตอ
พอที่จะเอากลับมาสร้างใหม่ได้อีก


สิ้นคำพูดของหลวงปู่จันทร์เรียน
องค์ท่านหลวงปู่ชอบถึงกับอุทานขึ้นมาว่า

“บ๊ะ...ท่านเรียนนี่ ท่านจะเอาไฟไปเผากุฏิทิ้งแบบนี้ได้ยังไง
นี่มันเป็นของสงฆ์นะ ถ้าท่านทำแบบนั้น
มันจะเป็นการกระทำผิดต่อพระธรรมวินัยนะ
ท่านเรียนนี่เว้าไปทั่วทีปทั่วแดน (ท่านเรียนนี่ก็พูดไปเรื่อยเปื่อย)
เราบอกให้ท่านไปรื้อบ้านแม่ขาว
เราไม่ได้บอกให้ท่านไปเผาบ้านแม่ขาวซ่ะหน่อย
ท่านไม่เข้าใจในคำพูดของเราหรือ”


หลวงปู่จันทร์เรียนท่านก็ว่า

“อ้าว...ในเมื่อพ่อแม่ครูอาจารย์ไม่ต้องการให้แม่ขาวอยู่ที่นี่แล้ว
ก็เผามันทิ้งเลยสิ รื้อออกไปมันก็ยังเหลือไม้เก่าอยู่เหมือนเดิม
เวลาที่พ่อแม่ครูอาจารย์ไม่อยู่วัดไปเที่ยววิเวกที่อื่น
พวกนี้เขาก็จะแอบเอาไม้เก่ามาสร้างกุฏิขึ้นมาใหม่อีก
มันก็จะวนเวียนกลับไปกลับมาอยู่อย่างนี้อีกเหมือนเดิม
ผมว่าไม่ต้องรื้อมันหรอก เผามันทิ้งทั้งหมดโลด
เพื่อตัดปัญหาที่เขาจะเอาไม้เก่ากลับมาสร้างกุฏิใหม่อีก”


หลวงปู่ชอบท่านว่า

“อ้าว...ถ้าหากวันข้างหน้ามีผู้มาขออาศัยใบบุญของวัดนี้ล่ะ
เราจะไปหาไม้ที่ไหนมาสร้างกุฏิให้เขาอยู่ล่ะ
ท่านเรียนนี่ก็ว่าไปเรื่อย เอะอะมะเทิ่งมาก็จะเผาทิ้งๆ อย่างเดียว
อย่างนี้มันไม่ถูกธรรมวินัยนะ”


หลวงปู่จันทร์เรียน

“ถ้าท่านอาจารย์ยังจะให้โอกาสคนอื่นเข้ามาพักอยู่ที่วัดนี้อีก
ข้าน้อยว่าบ่ต้องรื้อถอนมันออกไปหรอก มันเหนื่อยเสียเปล่า
รื้อออกแล้วยังจะเอากลับมาสร้างใหม่อีก
แบบนี้หมู่คณะเขาก็จะเหนื่อยเสียเปล่าๆ”


องค์ท่านหลวงปู่ชอบนิ่งฟังเหตุผลของหลวงปู่จันทร์เรียน
หลวงปู่จันทร์เรียนท่านว่าสักพักหลวงปู่ชอบท่านก็ยิ้มขึ้นมา
หลวงปู่ท่านบอกหลวงปู่จันทร์เรียนว่า
ถ้าอย่างนั้นท่านเรียนกลับไปบอกหมู่คณะว่า
ไม่ต้องรื้อถอนกุฏิแม่ขาวแล้ว ให้พากันกลับไปเดินจงกรม
ภาวนาทำความพากความเพียรของใครของมัน


หลวงปู่จันทร์เรียนบอกเรื่องนี้
พ่อแม่ครูบาอาจารย์ไม่ต้องบอกหมู่คณะให้ยากหรอกขอรับ
ข้าน้อยบอกหมู่คณะแล้ว ข้าน้อยบอกหมู่เพื่อน
ก่อนที่จะเข้ามากราบเรียนพ่อแม่ครูบาอาจารย์ตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว
องค์ท่านหลวงปู่ชอบก็ยิ้มไม่ว่าอะไรให้หลวงปู่จันทร์เรียน
หลวงปู่ท่านได้แต่หัวเราะหึๆ ในลำคอ
หลวงปู่จันทร์เรียนจึงกราบลาองค์ท่านหลวงปู่ชอบ
กลับไปทำความเพียรของตนเอง

หลวงปู่จันทร์เรียนท่านว่า ต่อมาแม่ชีกลุ่มนี้
ได้พากันเข้าไปกราบขอขมาต่อองค์ท่านหลวงปู่ชอบ
ในเรื่องที่พวกตนได้ล่วงละเมิดคำสั่งขององค์ท่าน
เพราะความเห็นแก่ตัวของตนเอง
หลวงปู่ท่านภาคทัณฑ์เรื่องนี้เอาไว้
และอนุญาตให้แม่ชีอยู่ปฏิบัติกับท่านที่วัดต่อไป


หลวงปู่จันทร์เรียนปฏิภาณไหวพริบของท่านเฉียบแหลมว่องไว
หากเป็นผู้เขียน (อดีตครูบากล้วย - พระวีระศักดิ์ ธีรภัทโท) แล้ว
ถ้าหลวงปู่ชอบท่านสั่งให้ไปรื้อกุฏิเช่นนี้ เราก็ต้องไปรื้อถอนตามคำสั่งขององค์ท่านแล้ว 
เพราะเราเป็นพระซื่อ (บื้อ) พลิกไหวสถานการณ์ไม่เป็นอย่างหลวงปู่จันทร์เรียน

หลวงปู่จันทร์เรียนท่านเป็นพระที่มีปัญญาหลักแหลมเฉียบไว
ซึ่งเป็นบุคลิกลักษณะส่วนตัวของท่านโดยเฉพาะ

หนังสือพิมพ์ OPT NEWS ONLINE
วันที่ 16 - 30 พฤศจิกายน 2567
อปท.นิวส์เชิญเป็นแขก ดูทั้งหมด
12 ก.ย. 2567
กล่าวได้ว่าบทบาทของตำรวจไทยทั้งในอดีตและปัจจุบัน หลายท่านหลายคน หลังจากผ่านความเหน็ดเหนื่อย ความยากลำบากในการผดุงความยุติธรรม ไล่จับคนร้ายทั้งตัวใหญ่ตัวเล็กมาตลอดชีวิตราชการ เห็นความทุกข์ยาองประชาชน เห็นปัญหาของสังคมในทุกแง่มุม อดไม่ได้ที่หลังเกษียณจะก้าวเข้าส...