ร.ต.ต.เกรียงศักดิ์ โลหะชาละ ประธานสภากรุงเทพมหานคร เป็นประธานประชุมสภากรุงเทพมหานคร สมัยประชุมวิสามัญ สมัยที่ 1 (ครั้งที่ 1) ประจำปีพุทธศักราช 2558 โดยมีม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร และคณะผู้บริหารกทม. เข้าร่วมประชุม โดยที่ประชุมมีการพิจารณาญัตติขอความเห็นชอบให้กรุงเทพมหานคร (กทม.) ยืมเงินสะสมกรุงเทพมหานคร เพื่อจ่ายบำเหน็จบำนาญให้แก่ข้าราชการบำนาญกรุงเทพมหานครจำนวน 2,100 ล้านบาท ณ ห้องประชุมสภากรุงเทพมหานคร ชั้น 3 ศาลาว่าการกทม.
ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า สำนักงานกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการกรุงเทพมหานครมีงบประมาณไม่เพียงพอในการจ่ายบำเหน็จบำนาญให้แก่ข้าราชการบำนาญกรุงเทพมหานครตลอดทั้งปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 จำนวนเงิน 2,100 ล้านบาท ซึ่งรายการดังกล่าวเป็นภาระผูกพันที่กรุงเทพมหานคร ต้องจ่ายตามกฎหมาย และเป็นเรื่องความจำเป็นเร่งด่วนที่จะบรรเทาความเดือดร้อนแก่ข้าราชการบำนาญกรุงเทพมหานคร เพื่อมิให้เกิดความเสียหายต่อราชการกรุงเทพมหานคร จึงเสนอขอความเห็นชอบจากสภากรุงเทพมหานครในการยืมเงินสะสมกรุงเทพมหานคร เพื่อเบิกจ่ายเป็นเงินบำเหน็จบำนาญให้แก่ข้าราชการบำนาญกรุงเทพมหานคร สำหรับกองทุนเงินสะสมของกรุงเทพมหานครนั้น ทุกๆ ปี กรุงเทพมหานครจะให้บริษัทตลาดหลักทรัพย์ทำการประเมินความน่าเชื่อถือทางการเงินของกทม. ซึ่งผลประเมินอยู่ในระดับดีมากมาโดยตลอด แสดงให้เห็นถึงสภาพความมั่นคงทางการเงินของกทม.
ด้าน นายจุมพล สำเภาพล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า กรณีการยืมเงินสะสมเพื่อใช้จ่ายในกองทุนดังกล่าว ตาม พ.ร.บ. เงินบำเหน็จบำนาญ จะหักจากเงินงบประมาณประจำปีของกรุงเทพมหานคร จำนวน 3% ซึ่งปัจจุบันกทม.มีเงินเข้ากองทุนเงินบำเหน็จบำนาญไม่เพียงพอต่อข้าราชการบำนาญจำนวนทั้งหมด 1,631 คน เนื่องจากกองทุนต้องจ่ายเงินเพิ่มเติม 25% ของเงินบำนาญให้กับข้าราชการบำนาญ กทม. ที่รับราชการก่อนปี 2535 ตามระเบียบที่ออกเมื่อปี 2554 ของกระทรวงมหาดไทย ทำให้กองทุนดังกล่าวมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังมีข้าราชการบางส่วนที่ออกนอกระบบไปขึ้นตรงกับมหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช ทำให้กทม. ต้องจ่ายเงินบำเหน็จบำนาญให้แก่กลุ่มบุคคลดังกล่าวอีกด้วย นอกจากนี้มีการตราพระราชบัญญัติเงินตกทอดและเงินช่วยเหลือให้แก่ข้าราชการบำเหน็จบำนาญ กทม.ทำให้มีรายจ่ายเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นเมื่อมีเงินในกองทุนไม่เพียงพอ กทม. จึงต้องดำเนินขอยืมเงินจากเงินสะสมดังกล่าว อย่างไรก็ตามกรุงเทพมหานคร ได้เร่งหาแนวทางแก้ไขปัญหาดังโดยหาแนวทางเพิ่มรายได้ประจำปี ซึ่งหากกทม. มีรายได้เพิ่มจะทำให้สามารถสมทบเงินกองทุนได้มากขึ้นด้วย อีกแนวทางหนึ่งคือจะต้องขอให้มีการแก้ไข พ.ร.บ. การจ่ายเงินบำเหน็จบำนาญให้แก่ข้าราชการกทม. เพื่อให้กทม. สามารถจัดสรรงบประมาณอุดหนุนกองทุนบำเหน็จบำนาญได้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้ในที่ประชุมสภากรุงเทพมหานคร สมาชิกสภากรุงเทพมหานครได้เสนอความคิดเห็นในเรื่องการยืมเงินสะสมว่าตามระเบียบซึ่งกำหนดไว้ว่า ต้องมีเหตุจำเป็นหรือเหตุเร่งด่วนเท่านั้นหรือการอนุมัติการยืมเงินสะสมนั้นจะต้องไม่เกินวงเงิน ร้อยละ 50 ของจำนวนเงินสะสมที่มีอยู่ ดังนั้นจึงอยากให้ฝ่ายบริหารเร่งหาแนวทางแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม อย่างไรก็ดี สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร ได้มีมติเห็นชอบต่อญัตติการยืมเงินสะสมกรุงเทพมหานคร เพื่อจ่ายบำเหน็จบำนาญให้แก่ข้าราชการบำนาญกรุงเทพมหานครจำนวน 2,100 ล้านบาท และส่งต่อให้ผู้บริหารดำเนินการต่อไป