ปากเสียงของคนท้องถิ่น เพื่อการพัฒนาประเทศ
คุณภาพชีวิต ย้อนกลับ
อว.นำเทคโนนิวเคลียร์ฉายรังสีอาหารพื้นถิ่นปลอดโรค
29 ม.ค. 2568

สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รมว.อว. เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ เรื่อง “การบูรณาการด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีนิวเคลียร์ และเทคโนโลยีเครื่องเร่งอนุภาคแนวตรง เพื่อเสริมสร้างศักยภาพด้านงานวิจัย พัฒนานวัตกรรมและการใช้ประโยชน์” ภายใต้แนวคิด “ฉายรังสีปลอดภัย อาหารพื้นถิ่นปลอดโรค” ปี 68 โดยมี รศ.ดร.ธวัชชัย อ่อนจันทร์ ผู้อำนวยการ สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ “สทน.” รศ.ดร.สาโรช รุจิรวรรธน์ ผู้อำนวยการ สซ. รศ.สมเจตน์ ดวงพิทักษ์ อธิการบดี มรภ.เลย ผศ.ดร.สานนท์ ด่านภักดี อธิการบดี มรภ.ชัยภูมิ และดร.เนตรชนก จันทร์สว่าง ผู้รักษาการแทนอธิการบดี มรภ.มหาสารคาม พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร สทน. สซ. และ มรภ. เข้าร่วมงาน​​​น.ส.ศุภมาส  เปิดเผยว่า อว.เป็นกระทรวงที่ดูแลและขับเคลื่อนองค์ความรู้ของประเทศ ทั้งการพัฒนากำลังคนขั้นสูง การวิจัยและพัฒนา การนำผลงานวิจัยและพัฒนาไปใช้ประโยชน์ และการทำงานร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ ในการขับเคลื่อนการวิจัย การลงนามความร่วมมือของทั้ง 5 องค์กรนี้ เป็นโอกาสดีในการที่องค์กรด้านวิทยาศาสตร์และภาคการศึกษาได้มาสนับสนุนซึ่งกันและกัน สิ่งที่อยากจะมุ่งเน้น คือ การวิจัยและนวัตกรรมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการแก้ไขปัญหาสำคัญของประเทศ ซึ่งจะต้องพึ่งพาข้อมูล ความรู้ และวิทยาการด้วยอย่างมาก เช่น เทคโนโลยีนิวเคลียร์ซึ่งหลายท่านอาจจะมองว่าไกลตัวแต่สามารถนำมาสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์ สร้างรายได้แก่ผู้ประกอบการได้ โดย อว.จะส่งเสริมนโยบายที่มุ่งเน้นการพัฒนาที่สนับสนุนกิจกรรมที่มีผลิตภาพ การสร้างงานที่มีคุณค่า สนับสนุนความเป็นผู้ประกอบการ ความสร้างสรรค์และนวัตกรรม โดยให้การสนับสนุน การรวมตัวในการเติบโตของวิสาหกิจรายย่อย ขนาดเล็ก และขนาดกลาง เพื่อเพิ่มมูลค่าและต่อยอดผลิตภัณฑ์ได้อย่างยั่งยืน

​               ทางด้าน รศ.ดร.ธวัชชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า เทรนด์ Soft Power ที่ต้องการยกระดับอาหารพื้นถิ่นไทยสู่สากล และเทรนด์อาหารฟังก์ชัน (Functional Food) กำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย สร้างโอกาสทองให้ผู้ประกอบการพัฒนาสินค้าใหม่ๆ ตอบโจทย์ด้านสุขภาพออกมาจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง สทน. จึงเล็งเห็นถึงประโยชน์ของการนำเทคโนโลยีการฉายรังสี มาร่วมวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ ทั้งในด้านช่วยลดปริมาณจุลินทรีย์ก่อโรค ช่วยชะลอการสุก และช่วยยืดอายุการเก็บ เป็นการสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการสามารถพัฒนาสินค้าใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ด้านสุขภาพออกมาจำหน่ายให้คนไทยได้มีสุขภาพที่ดีต่อไปด้วย พิธีลงนามบันทึกข้อตกลงฯ ในวันนี้ จึงเกิดขึ้นเพื่อให้การฉายรังสีในอาหารเป็นที่ยอมรับและมีการใช้ประโยชน์แพร่หลายมากขึ้น โดย สทน.ได้ดำเนินการโครงการฯ มาแล้วตั้งแต่ปี 64 และได้ลงพื้นที่ขยายผลต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี

สำหรับการลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ ทุกหน่วยงานจะทำงานร่วมกัน ทั้งในเรื่องการจัดฝึกอบรมให้ความรู้ การสร้างการยอมรับเรื่องประโยชน์ของการฉายรังสี และประสานงานอำนวยความสะดวก ในการส่งผลิตภัณฑ์เพื่อมาฉายรังสี รวมทั้งมีการใช้พื้นที่และทรัพยากรต่างๆ ร่วมกัน เพื่อนำไปสู่การวิจัยและพัฒนาตัวสินค้า จนสามารถขยายไปเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่จะนำไปจำหน่ายในประเทศและส่งออกไปต่างประเทศทั้งนี้ นับจากปี 64 ที่ สทน. ได้ร่วมกับสถาบันราชภัฏ นำเทคโนโลยีนิวเคลียร์ ด้านการฉายรังสีอาหาร ลงไปส่งเสริมกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ผู้ผลิตอาหารพื้นถิ่น และกลุ่มผู้ประกอบการ SME ภายใต้โครงการ “การสร้างมูลค่าให้กับอาหารพื้นถิ่น และอาหารฟังก์ชัน ด้วยการฉายรังสีอาหาร”  ทำให้ขณะนี้ มีผลิตภัณฑ์ที่เข้าร่วมโครงการแล้ว รวมทั้งสิ้น 786 ผลิตภัณฑ์ แบ่งเป็น ภาคกลาง 179 ผลิตภัณฑ์ ภาคใต้ 122 ผลิตภัณฑ์ ภาคเหนือ 131 ผลิตภัณฑ์ ภาคอีสาน 354 ผลิตภัณฑ์ในจำนวน 786 ผลิตภัณฑ์ มีเพียง 266 ผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการคัดเลือก แบ่งเป็นอาหารพื้นถิ่นจำนวน 251 ผลิตภัณฑ์ และอาหารฟังก์ชันจำนวน 15 ผลิตภัณฑ์  ทั้งนี้ ในกลุ่มอาหารฟังก์ชัน สทน. ได้ริเริ่มเพิ่มเติมขึ้นในปี 67 ที่ผ่านมา ทางด้าน ดร.กนกพร บุญศิริชัย รองผู้อำนวยการ สทน. กล่าวเพิ่มเติมว่า นวัตกรรมการฉายรังสี เป็นความพยายามของ สทน. ในการนำเทคโนโลยีนิวเคลียร์ไปช่วยผู้ประกอบการที่มีอยู่ทั่วประเทศ ทุกภาค ที่มีอาหารในรูปแบบต่างๆ รวมทั้งสมุนไพร เพื่อช่วยยกระดับสินค้าเพื่อให้สะอาด ปลอดภัยและมีมาตรฐาน และสามารถเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายเพื่อเพิ่มรายได้ให้ผู้ประกอบการได้ จากการดำเนินโครงการฯ ที่ผ่านมา มีผู้ประกอบการที่แม้หลังสิ้นสุดโครงการฯ แล้ว ยังคงใช้เทคโนโลยีการฉายรังสีอย่างต่อเนื่อง เช่น ผลิตภัณฑ์เครื่องแกงไตปลาก้อนบ้านบนนบ จ.พัทลุง ผลิตภัณฑ์น้ำพริกข่าพร้อมทาน อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่  ผลิตภัณฑ์น่ำตั๊บหมู  จ.นครราชสีมา เป็นต้น

“สทน.และหน่วยงานภาคีที่ MOU ร่วมกันในวันนี้ พร้อมแล้วที่จะนำองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมที่มีอยู่ มาช่วยยกระดับผลิตภัณฑ์ของผู้ประกอบการทุกท่าน ทั้งกลุ่ม OTOP วิสาหกิจชุมชน และ SME ให้เป็นธุรกิจชุมชนที่เข้มแข็ง เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ท่านมีทางเลือก มีโอกาสในการทำตลาดเพิ่มมากขึ้น ในโอกาสนี้ ผมก็ขอเชิญชวนผู้ประกอบการอาหารพื้นถิ่นและอาหารฟังก์ชัน สมัครเข้าร่วมโครงการฯ ได้นะครับ” ผอ.สทน. กล่าวทิ้งท้าย

หนังสือพิมพ์ OPT NEWS ONLINE
วันที่ 16 - 31 มกราคม 2567
อปท.นิวส์เชิญเป็นแขก ดูทั้งหมด
13 ม.ค. 2568
ตามรายงานของศูนย์ข้อมูลเพื่อธุรกิจไทยในสิงคโปร์ (thaibizsingapore.com) ระบุว่า สิงคโปร์เป็นประเทศคู่ค้าสำคัญอันดับที่ 8 ของไทย และไทยเป็นคู่ค้าอันดับที่ 10 ของสิงคโปร์ จากสถิติของกระทรวงพาณิชย์และกรมศุลกากร ปริมาณการค้าไทย-สิงคโปร์ ปี 2565 มีมูลค่ารวม 644,383 ...