“สุริยะ” เผยผลตอบรับนโยบาย “รถไฟฟ้า 20 บาท” ดันยอดผู้โดยสารโตต่อเนื่อง เผยแนวโน้มดีปี 68 รัฐอาจไม่ต้องอุ้มค่าชดเชยส่วนต่าง หลังพบรถไฟฟ้ากวาดรายได้เพิ่ม 12.28%
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า จากนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ที่ในปัจจุบันได้ดำเนินการมาแล้วกว่า 1 ปี 2 เดือนในโครงการรถไฟฟ้า 2 เส้นทาง ได้แก่ โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-คลองบางไผ่ และโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต และช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน โดยจากผลการดำเนินนโยบาย พบว่าได้ผลตอบรับจากประชาชนเป็นอย่างดี สะท้อนได้จากข้อมูลในช่วงที่ผ่านมาที่มีสถิติการมีผู้ใช้บริการสูงที่สุด (นิวไฮ) ตั้งแต่เปิดให้บริการ
สำหรับ นโยบายค่ารถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ยืนยันว่าจะประกาศใช้ในโครงการรถไฟฟ้าทุกสี ทุกสาย และทุกเส้นทางภายในเดือนกันยายน 2568 ตามที่เคยกำหนดไว้ ภายใต้การขับเคลื่อนร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม พ.ศ. …. ผ่านการจัดตั้งกองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วม ที่ในขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการตามกระบวนการ
อย่างไรก็ดี คาดว่าจะประกาศราชกิจจานุเบกษา และมีผลบังคับใช้ในช่วงกลางปี 2568 และเสนอประกาศกฎหมายลำดับรองภายในเดือนกันยายน 2568 โดยกระทรวงฯ เชื่อว่าเมื่อนโยบายนี้ครอบคลุมในทุกเส้นทาง จะมีผู้โดยสารเพิ่มขึ้นต่อเนื่องอย่างแน่นอน
นายสุริยะ กล่าวต่อว่า กรมการขนส่งทางราง (ขร.) ได้รายงานผลการดำเนินนโยบายค่ารถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ระบุว่า ในเดือนธันวาคม 2567 ปริมาณผู้โดยสารยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยรถไฟฟ้าสายสีแดงและสายสีม่วง มีปริมาณผู้โดยสารรวม 3,054,439 คน เพิ่มขึ้น 10.86% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็น
ขณะที่รายได้จากการดำเนินนโยบายฯ (ข้อมูล ณ เดือนธันวาคม 2567) โดยทั้ง 2 สายดังกล่าวมีรายได้รวมกันอยู่ที่ 49.91 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.28% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็น
นายสุริยะ กล่าวอีกว่า จากแนวโน้มปริมาณผู้โดยสารที่ตอบรับนโยบายค่ารถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายนั้น ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีที่รัฐบาล และกระทรวงคมนาคมได้ช่วยลดภาระค่าครองชีพในการเดินทางให้กับพี่น้องประชาชน อีกทั้งยังจูงใจให้หันมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะมากขึ้น ลดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล ซึ่งเป็นอีก 1 ปัจจัยในการช่วยลดปัญหาฝุ่นละออง PM2.5
นอกจากนี้ เมื่อมีปริมาณผู้โดยสารเพิ่มมากขึ้นแล้ว คาดว่ารถไฟฟ้าสายสีม่วง และรถไฟฟ้าสายสีแดง จะมีรายได้เท่ากับหรือมากกว่าช่วงก่อนเริ่มนโยบายภายในปี 2568 หรือเร็วกว่าแผนที่กำหนดไว้ จากเดิมที่คาดว่าภายในระยะ 2 ปี 7 เดือนหลังจากเริ่มนโยบาย ซึ่งส่งผลให้ภาครัฐอาจจะไม่ต้องชดเชยส่วนต่างรายได้ให้กับทั้ง 2 โครงการดังกล่าวแล้ว