กางแผนผลักดันเพิ่ม ‘6 สิทธิประโยชน์’ ประกันสังคมของผู้ประกันตน ปรับสูตรคำนวณ ‘บำนาญชราภาพ’ ใหม่ เตรียมเสนอบอร์ดพิจารณา เดินหน้าขยายเงินดูแลเด็กถึง 12 ปี จ่ายปีละ 1 ครั้ง เพิ่มค่าคลอดบุตร ปรับเงินชดเชยทุพพลภาพจ่ายเต็ม 60% 2 ปี ชดเชยลาไปดูแลคนป่วย
จำนวนผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมล่าสุดกว่า 24.80 ล้านคน ประกอบด้วยมาตรา 33 จำนวน 12.07 ล้านคนมาตรา 39 จำนวน 1.72 ล้านคน มาตรา 40 จำนวน 11.01 ล้านคน และมีเงินลงทุนกองทุนประกันสังคมมีเงินสมทบสะสม กว่า 2.6 ล้านล้านบาท
เงินสมทบที่ผู้ประกันตนมาตรา 33 จ่ายสูงสุดเดือนละ 750 บาท จะแบ่งสัดส่วนสิทธิประโยชน์ 7 กรณี คือ ค่าคลอดบุตร สงเคราะห์บุตร รักษาพยาบาล การว่างงาน ทุพพลภาพ ชราภาพและเสียชีวิต
ในปี 2567 สำนักงานประกันสังคมจ่ายสิทธิประโยชน์กองทุนประกันสังคม 7 กรณี แก่ผู้ประกันตนไปแล้ว 38.58 ล้านครั้ง จำนวน 112,829.93 ล้านบาท และกองทุนเงินทดแทน จำนวน 1,821.25 ล้านบาท รวมสิทธิประโยชน์จากทั้ง 2 กองทุน จำนวน 114,651.18 ล้านบาท
สิทธิประโยชน์ที่ปรับแล้ว
การปรับเพิ่มสิทธิประโยชน์ประกันสังคมให้ผู้ประกันตน รศ.ดร.ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี กรรมการผู้แทนฝ่ายผู้ประกันตน คณะกรรมการประกันสังคม ให้สัมภาษณ์ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ส่วนที่ผลักดันสำเร็จแล้วเมื่อปี 2567 คือ การปรับเพิ่มเงินสงเคราะห์บุตรอายุ 0-6 ปี จาก 800 บาทเป็น 1,000 บาท มีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่ 1 ม.ค.2568 จะใช้เงินกองทุนเพิ่มขึ้นราว 3,000 ล้านบาท ให้เด็ก 1.2 ล้านคน
รวมถึงส่วนประกันการว่างงานปรับเพิ่มจาก 50 % หรือสูงสุด 7,500 บาทต่อเดือนเป็นเวลา 6 เดือน ปรับเป็น 60 % หรือสูงสุด 9,000 บาทต่อเดือน เป็นเวลา 6 เดือน จะเริ่มมีผลในเดือนมี.ค.2568 กรณีแรงงานที่ถูกเลิกจ้าง
ผลักดันขยายเงินเด็ก-ทุพพลภาพ
สิทธิประโยชน์ที่จะผลักดันปีนี้ คือ
1.ขยายเงินดูแลให้ถึง 12 ปี จากเดิมที่ไม่มีให้ แต่การบริหารจัดการเงินดูแลเด็กจะอยู่ในเงินกองเดียวกับเงินบำนาญชราภาพ จึงอาจจะไม่ได้เท่ากับเด็ก 0-6 ขวบ อาจจะได้รับครั้งเดียวต่อปี ราว 7,200 บาท อย่างน้อยอาจจะเป็นค่าใช้จ่ายในช่วงเปิดภาคการศึกษา
2.ปรับเงื่อนไขการชดเชยผู้ทุพพลภาพหรือผู้พิการ เป็นการพิจารณาตามความพิการที่ดูจากการใช้งานจริง โดยจะกำหนด 2 ปีแรกหากถูกนิยามว่าทุพพลภาพเกิดขึ้นไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหน ก็จะจ่ายชดเชยให้เต็มและขยับเป็น 60 %ของฐานเงินเดือนเป็นเวลา 2 ปี
จากนั้นจึงมาประเมินเงื่อนไขความพิการต่อไป จากเดิมที่แบ่งเกณฑ์ความพิการ ด้วยการวัดระดับความพิการรุนแรงมาก-น้อย ทำให้ได้รับเงินสัดส่วนที่ต่างกัน แต่จากการทำการสำรวจพบว่ามีความพิการตามอาชีพ อย่างการเป็นเชฟแล้วเส้นเอ็นมือขาด ไม่สามารถจับตะหลิวได้ อาจไม่ได้รุนแรง แต่สำหรับคนที่เป็นเชฟมา 20 ปี ก็ไม่สามารถทำอาชีพนี้ได้แล้ว
ชงบอร์ดใช้สูตรคำนวณบำนาญใหม่
3.เพิ่มค่าทำคลอดบุตร เป็น 20,000 บาทต่อครั้งและเป็นเหมาจ่ายค่าฝากครรภ์ แทนแบบเดิมที่จ่ายเป็นรายครั้ง 2 เดือน,4 เดือนมาเบิกครั้งละ 1,500 บาท
4.กรณีเงินบำนาญชราภาพ จะปรับสูตรการคำนวณใหม่ จากเดิมเป็นการคำนวณจากเงินเดือน 60 เดือนสุดท้าย เปลี่ยนเป็นใช้คำนวณเงินเดือนตลอดอายุทำงานจริง
เนื่องจากผู้ประกันตนที่เงินเดือนสูงมาตลอดแต่ถูกเลิกจ้างตอนอายุ 50 ปีแล้วมาส่งประกันสังคมมาตรา 39 หรือต้องทำงานเป็นพนักงานรายวัน ทำให้เงินค่าจ้างลดลงอย่างมากในการคำนวณเงินบำนาญชราภาพซึ่งเรื่องนี้ผ่านความเห็นชอบของอนุกรรมการแล้ว เตรียมเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการประกันสังคม(บอร์ดประกันสังคม)ต่อไป
“การคำนวณแบบใหม่จะทำให้ผู้ประกันตนมาตรา 39 ได้รับเงินบำนาญเพิ่มขึ้นด้วยสัดส่วนที่เป็นธรรม เพราะเคยส่งเงินสมทบด้วยอัตราที่สูงกว่าอัตราที่ส่งในช่วง 5 ปีสุดท้าย ซึ่งจะทำให้ประกันสังคมจ่ายเงินเพิ่มขึ้นปีละ 900-1,000 ล้านบาท แต่จะทำให้เงินบำนาญของคนหลักแสนคนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และถ้าสูตรใหม่นี้กระทบทำให้มีคนได้รับเงินบำนาญลดลง ก็จะมีบทเฉพาะกาล 5 ปี ในการชดเชยเพื่อไม่ให้ได้รับน้อยกว่าการคำนวณสูตรเดิม” รศ.ดร.ษัษฐรัมย์ กล่าว
จ่ายชดเชยการลาไปดูแลคนป่วย
5.กรณีการรักษาพยาบาลประกันสังคมอย่างน้อยต้องเท่าเทียมในทางปฏิบัติกับสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(บัตรทอง) ปัจจุบันเป็นการเท่าเทียมทางกฎหมาย แต่ในฐานะผู้ใช้เห็นว่าหลายรายการที่ได้ไม่เท่ากัน ส่วนที่จะทำให้เป็นรูปธรรม เช่น การรักษาระดับปฐมภูมิให้ผู้ประกันตนสามารถเข้ารับบริการได้ดีขึ้น แทนการต้องเดินเข้ารพ.ที่เป็นคู่สัญญาประกันสังคมเท่านั้น ทำให้เสียเวลาไปแออัดในรพ. ขณะที่บัตรทองสามารถไปรับบริการคลินิก หรือร้านยาใกล้บ้านได้ โดยจะผลักดันผ่านคณะกรรมการแพทย์ประกันสังคมที่จะมีชุดใหม่เข้ามาในเดือนก.พ.2568
และ 6.เรื่องสิทธิในการลดไปดูแลคนในครอบครัว ซึ่งจะล้อกับพ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม ซึ่งปัจจุบันพนักงานจำนวนมากไม่สามารถลาไปบอกลาพ่อแม่หรือสำคัญในชีวิตได้ เนื่องจากนิยามกำหนดโรคป่วยระยะสุดท้ายให้ได้รับเงินชดเชยประกันสังคม กรณีลาไปดูแลคนเหล่านี้ แต่บอร์ดประกันสังคมไม่มีอำนาจแก้ไขกฎหมายคุ้มครองแรงงาน เพียงแต่หากลาไปประกันสังคมจะจ่ายชดเชยให้ในส่วนนี้
โดยจะทดลองคิกออฟก่อนปีละ 3-5 วัน และเลือกกรณีคนป่วยที่มีอาการบ่งชี้ เช่น เป็นมะเร็งระยะ3-4 หรือผ่าตัดเร่งด่วน ให้สามารถเบิกค่าชดเชยได้จากการขาดงานส่วนนี้ หากพบว่าในความเป็นจริงคนอาจจะไม่ได้มาใช้สิทธินี้มากเหมือนที่หลายฝ่ายกังวล จึงจะพิจารณาขยายเพิ่มเติม
ปรับเพิ่มฐานเงินเดือนมาตรา 39
ขณะที่ในส่วนของผู้ประกันตนมาตรา 39 ซึ่งสิทธิประโยชน์จะล้อตามมาตรา 33 ยกเว้นกรณีว่างงาน โดยเรื่องฐานเงินเดือนที่ใช้คำนวณส่งเงินสมทบ ปัจจุบันอยู่ที่ 4,800 บาท โดยมีข้อเสนอจากอนุกรรมการว่าควรคิดเป็น 50 % ของฐานเงินเดือนสูงสุดมาตรา 33 ที่ใช้อยู่ 15,000 บาท จึงควรปรับฐานเงินเดือนมาตรา 39 เป็น 7,500 บาท จะทำให้ได้รับสิทธิประโยชน์อื่นๆเพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติ
ส่วนผู้ประกันตนมาตรา 40 รศ.ดร.ษัษฐรัมย์ กล่าวว่า ปัจจุบันที่มีการสมทบ 3 ประเภท 70,100และ 300 บาทต่อเดือน ซึ่งสิทธิรักษาพยาบาลจะใช้สิทธิบัตรทอง แต่การชดเชยของมาตรานี้ หลักๆจะเป็นเรื่องของการขาดรายได้ เช่น หากเข้ารักษาในรพ.จะได้รับการชดเชยวันละ 300 บาท ,ชดเชยการขาดรายได้แม้ไม่ได้เข้านอนรพ.วันละ 200 บาท จากการจ่ายเงินสมทบเริ่มต้นปีละ 840 บาท
โดยสิทธิที่จะเพิ่มขึ้นและผ่านการพิจารณาเห็นชอบจากบอร์ดประกันสังคมแล้ว คือ ค่าเดินทางไปพบแพทย์ได้ครั้งละ 50 บาท ขยับเป็นครั้งละ 200 บาทจะมีผลในปี 2568 รวมถึง ชดเชยรายได้จากการตั้งครรภ์ สูงสุดได้รับ 9,000 บาทต่อ 1 การตั้งครรภ์ เดิมมาตรา 40 จะไม่มีส่วนนี้ นอกจากนี้ อนาคตจะมีการจูงใจอื่นๆ เช่น การจ่ายล่วงหน้า 1 ปีจะได้รับส่วนลด 10 % และการลาไปดูแลคนป่วยหากมาตรา 33 ได้รับแล้ว ก็จะขยายสิทธิให้มาตรา 40 ด้วย
ขยายสิทธิควบคู่กองทุนมั่นคงได้
หลายคนปล่อยประมาณว่าประกันสังคมทำเพราะถังแตก จึงต้องขยายเพดานฐานเดือนหรือขยายเรื่องต่างๆ แต่เมื่อดูตามสูตรจะพบว่า การปรับสิทธิประโยชน์ทั้งหลายหรือแนวคิดเรื่องการปรับฐานเงินเดือนต่างๆ หรือดึงให้คนมาส่งมาตรา 39 มากขึ้น สุดท้ายที่ได้ประโยชน์มากกว่ากองทุนคือผู้ประกันตน เพราะเรื่องชีวิตคนสำคัญมากกว่ากำไรขาดทุน
"จากที่ได้ดูมาเห็นว่าประกันสังคมมีช่องทางในการนำเงินมาเติมเข้ากองทุนอีกมาก และสามารถขยายสิทธิประโยชน์ควบคู่กับการสร้างความมั่นคงได้ โดยที่ประกันสังคมไม่เคยเจ๊งและตามกฎหมายเจ๊งไม่ได้” รศ.ดร.ษัษฐรัมย์ กล่าว