อีอีซีหนุน UTA เดินหน้าปั้น "เมืองการบินอู่ตะเภา" ชูแพ็คเกจสิทธิประโยชน์ด้านภาษี เว้นจัดเก็บสูงสุด 15 ปี หวังจูงใจนักลงทุน ลุยออก NTP เข้าพื้นที่ พ.ค.นี้
โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกถือเป็นหนึ่งในโครงการโครงสร้างพื้นฐานหลักสำคัญของ อีอีซี เพื่อยกระดับสนามบินอู่ตะเภาเป็น "สนามบินนานาชาติเชิงพาณิชย์หลัก แห่งที่ 3" เชื่อมสนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิ ด้วยรถไฟความเร็วสูง ทำให้ทั้ง 3 สนามบินสามารถรองรับผู้โดยสารรวมกันได้มากถึง 200 ล้านคนต่อปี แต่โครงการนี้กำลังถูกตั้งคำถามถึงความคืบหน้าดำเนินการ
ล่าสุดบริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่นจำกัด (UTA) ในฐานะผู้รับสัมปทานโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา และเมืองการบินภาคตะวันออกพื้นที่ 6,500 ไร่ ยืนยันที่จะเดินหน้าลงทุนโดยไม่รอโครงการรถไฟความเร็วสูงสามสนามบิน หากภาครัฐมีความชัดเจนในสิทธิประโยชน์ที่จะสนับสนุนการลงทุนในโครงการเมืองการบิน
นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการพัฒนาท่าอากาศยานอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก โดยระบุว่า ขณะนี้ สกพอ.ได้หารือร่วมกับเอกชนคู่สัญญาพัฒนาโครงการ
ดังกล่าว คือ บริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด (UTA) โดยยืนยันความพร้อมที่จะเข้าพื้นที่เริ่มงานก่อสร้างโครงการ เบื้องต้นคาดว่าจะมีการส่งมอบพื้นที่ได้ภายในเดือน เม.ย. - พ.ค.นี้
อย่างไรก็ดี เนื่องด้วยการพัฒนาท่าอากาศยานอู่ตะเภามีพื้นที่ทับซ้อนชั้นล่างของอาคารผู้โดยสารที่ต้องเชื่อมต่อกับโครงการรถไฟความเร็วสูง (ไฮสปีดเทรน) เชื่อมสามสนามบิน (ดอนเมือง สุวรรณภูมิ อู่ตะเภา) ดังนั้นจึงมีการหารือร่วมกับการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เจ้าของโครงการดังกล่าว ซึ่งปัจจุบันยังอยู่ระหว่างรอลงนามแก้ไขสัญญากับเอกชนคู่สัญญา
ดังนั้นเพื่อให้โครงการพัฒนาท่าอากาศยานอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกสามารถเดินหน้าได้ทันที จึงจะมีการปรับรายละเอียดเงื่อนไขสัญญา ตัดเงื่อนไขที่เคยระบุต้องรอความชัดเจนของโครงการไฮสปีดเชื่อมสามสนามบินจึงจะดำเนินการออกเอกชนให้เอกชนเข้าพื้นที่ (NTP) ออกไป พร้อมทั้งจะเริ่มก่อสร้างส่วนของอาคารผู้โดยสารทันทีตามแผน ส่วนพื้นที่ทับซ้อนที่ต้องก่อสร้างอุโมงค์ไฮสปีดเทรน ส่วนนี้ รฟท.จะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายและดำเนินการไปก่อน
“ภายใต้สัญญาพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาเคยระบุว่าต้องรอความชัดเจนของไฮสปีดเทรนก่อน เพราะสองโครงการต้องเดินหน้าไปด้วยกัน แต่วันนี้จะตัดเงื่อนไขนี้ออกโดยการรถไฟฯ จะเป็นผู้รับผิดชอบงานก่อสร้างอุโมงค์รถไฟเองโดยไม่ต้องรอแก้ไขสัญญากับเอกชนแล้ว เพราะยืนยันว่าไฮสปีดเทรนยังต้องดำเนินการก่อสร้าง หากแก้สัญญาแล้วเสร็จ การรถไฟฯ จึงจะไปเรียกเก็บค่าก่อสร้างงานอุโมงค์กับเอกชนในภายหลัง”
นายจุฬา กล่าวด้วยว่า เมื่อการเจรจาเรื่องเงื่อนไขการออก NTP ได้ข้อสรุปแล้วก็สร้างความเชื่อมั่นกับเอกชนว่าจะสามารถเริ่มงานก่อสร้างโครงการท่าอากาศยานอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกได้ทันที ซึ่งทางกลุ่ม UTA ก็มีความพร้อมดำเนินการตามแผน โดยจะก่อสร้างอาคารผู้โดยสาร ระยะที่ 1 เพื่อรองรับผู้โดยสารสูงสุด 12 ล้านคน แต่จะมีการปรับแผนทยอยเปิดพื้นที่เพราะเอกชนคาดว่าในช่วงแรกผู้โดยสารคงไม่เดินทางสูงสุดตามที่คาดการณ์ไว้
ขณะที่แผนพัฒนาเมืองการบินอู่ตะเภา สกพอ.ได้เตรียมจัดสรรสิทธิประโยชน์การลงทุนในพื้นที่ให้กับ UTA รวมไปถึงผู้ประกอบการรายกิจการที่จะเข้ามาพัฒนาโครงการในพื้นที่เมืองการบิน เพื่ออำนวยความสะดวกในการดำเนินธุรกิจ อาทิ สิทธิประโยชน์ด้านภาษีและอากร โดย สกพอ.กำหนดให้ผู้ประกอบการสามารถยื่นรับการพิจารณาสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสูงสุด 15 ปี และสิทธิได้รับลดหย่อยภาษีเงินได้นิติบุคคล ไม่เกิน 50% ของอัตราปกติสูงสุด 10 ปี
นอกจากนี้ยังได้สิทธิในการยกเว้น/ลดหย่อนจากการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร สิทธิประโยชน์เช่นเดียวกับผู้ประกอบกิจการในเขตปลอดอากร คลังสินค้าทัณฑ์บน หรือเขตประกอบการเสรี รวมทั้งถึงสิทธิในการนำคนต่างด้าวเข้ามาและอยู่อาศัยในราชอาณาจักร และสิทธิในการได้รับ Work Permit เป็นต้น
“สิทธิประโยชย์ด้านภาษีและส่งเสริมการลงทุนนั้น ปัจจุบันอยู่ระหว่างรอกระทรวงการคลังออกกฎหมายเพื่อให้อีอีซีสามารถดำเนินการเรื่องเหล่านี้ได้ แต่เบื้องต้นทาง UTA สามารถไปโรดโชว์ดึงดูดนักลงทุนด้วยเงื่อนไขสิทธิประโยชน์เหล่านี้ และมายื่นเพื่อเตรียมขอรับสิทธิประโยชน์ต่างๆ ได้ ซึ่งอีอีซีจะพิจารณาเป็นแพ็คเกจภาพรวมในเมืองการบิน พร้อมทั้งพิจารณาเป็นรายกิจการที่อาจได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติม”
โดยการพิจารณาสิทธิประโยชน์ สกพอ.ยังมีข้อกำหนดพิจารณาให้สิทธิประโยชน์สูงสุดกับกิจการที่ก่อให้เกิดประโยชน์กับการพัฒนาประเทศไทยมากที่สุด โดยอาจเป็นการลงทุนที่ส่งเสริม 5 คลัสเตอร์อุตสาหกรรมเป้าหมาย ประกอบด้วย การแพทย์ ดิจิทัล ยานยนต์สมัยใหม่ BCG หรือเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว(Bio-Circular-Green Economy) และภาคบริการ
นอกจากนี้มีปัจจัยพิจารณาใน 4 มิติที่จะเกิดประโยชน์ต่อไทย ประกอบด้วย
ด้านยุทธศาสตร์ กิจการที่จะพัฒนานั้นต้องเป็นการบุกเบิกกิจการในอุตสาหกรรมไทย ก่อให้เกิดความสำคัญของกิจการต่อห่วงโซ่อุปทาน และห่วงโซ่คุณค่าของอุตสาหกรรมเป้าหมาย
ด้านเศรษฐกิจ กิจการเหล่านั้นต้องมีแผนการลงทุน กำหนดเวลาเริ่มประกอบกิจการที่ชัดเจน รวมทั้งเกิดมูลค่าการลงทุนจริงในพื้นที่ มีเทคโนโลยีและแผนถ่ายทอดองค์ความรู้ เป็นต้น
ด้านสิ่งแวดล้อม กิจการเหล่านี้ต้องก่อให้เกิดความยั่งยืนของการดำเนินกิจการ สร้างการมีส่วนร่วมในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ความเป็นกลางทางคาร์บอน หรือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์
ด้านสังคม โดยกิจการที่จะลงทุนนั้นต้องสร้างการมีส่วนร่วมในการพัฒนาและสนับสนุนชุมชนในพื้นที่ ซึ่งหากกิจการที่ยื่นขอรับสิทธิประโยชย์เข้าข่ายข้อกำหนดเหล่านี้มากที่สุดก็จะได้รับการพิจารณาสิทธิประโยชน์สูงสุด
นายจุฬา กล่าวด้วยว่า การกำหนดสิทธิประโยชน์ด้านภาษีและส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่อีอีซีนั้น เชื่อว่าจะเป็นแรงจูงใจผู้ประกอบการเข้ามาลงทุนในพื้นที่อีอีซี รวมไปถึงเมืองการบินภาคตะวันออกที่ทาง UTA ได้สิทธิในการบริหารพื้นที่ ดังนั้นขณะนี้ UTA สามารถยื่นแผนพัฒนารายกิจการเพื่อให้ สกพอ.เริ่มพิจารณาสิทธิประโยชน์ได้ทันที เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถวางแผนการลงทุนในพื้นที่เมืองการบินได้
ขณะที่นโยบายการพัฒนาโครงการเอนเตอร์เทนเมนต์ สกพอ.ยืนยันว่าสามารถดำเนินกิจการเหล่านี้ได้ ภายใต้กิจการที่ถูกต้องตามกฎหมาย เนื่องจากการพัฒนาโครงการเอนเตอร์เทนเมนต์นั้นมีหลากหลายกิจการ โดยส่วนใหญ่เป็นกิจการที่สร้างความบันเทิง กิจการเพื่อการบริการ ซึ่งขณะนี้ก็สามารถดำเนินการได้ เว้นแต่กิจการคาสิโนที่ยังไม่มีกฎหมายรองรับ แต่หากอนาคตมีกฎหมายรองรับแล้วก็เป็นกิจการที่ดำเนินการได้ โดยผู้ประกอบการต้องยื่นขออนุมัติให้ถูกต้อง มีใบอนุญาติประกอบกิจการตามขั้นตอนทางกฎหมาย
ความทะเยอทะยานเพื่อผลักดันให้ไทยเกิดศูนย์กลางการพัฒนาธุรกิจเป้าหมาย โดยเฉพาะการเป็น "ศูนย์กลางอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และ Logistics & Aviation" รวมถึงการเป็นศูนย์กลางของ "มหานครการบินภาคตะวันออก" ที่จะครอบคลุมการพัฒนาพื้นที่เมือง ประมาณ 30 ก.ม. โดยรอบสนามบิน (พัทยาถึงระยอง) เพื่อให้ประเทศไทยเป็น ศูนย์กลางทางการบินและประตูเศรษฐกิจสู่เอเชีย