กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) และ บริษัท เอส ซี ไอ อีโค่ เซอร์วิสเซส จํากัด
ในเครือ SCG ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ต่อยอดการพัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิลซากแผงเซลล์แสงอาทิตย์แบบครบวงจร เพื่อการจัดการซากแผงเซลล์แสงอาทิตย์ที่ชำรุดหรือสิ้นอายุ ดันประยุกต์ใช้ได้จริงในเชิงพาณิชย์ และแก้ปัญหาซากแผงเซลล์แสงอาทิตย์นับแสนตันในอนาคต
ดร.อดิทัต วะสีนนท์ อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยการวิจัยและพัฒนากระบวนการและเทคโนโลยีการจัดการซากแผงเซลล์แสงอาทิตย์ที่ชำรุดหรือสิ้นอายุ ระหว่าง กพร. กับ บริษัท เอส ซี ไอ อีโค่ เซอร์วิสเซส จํากัด โดยกล่าวว่า กพร. เป็นหน่วยงานหลักในการบริหารจัดการวัตถุดิบ ทั้งวัตถุดิบจากแหล่งแร่ธรรมชาติ (Primary Raw Materials)
และวัตถุดิบทดแทนที่ได้จากการรีไซเคิลขยะหรือของเสีย (Secondary Raw Materials) โดยให้ความสำคัญกับการรีไซเคิลขยะหรือของเสียทั้งจากภาคครัวเรือนและภาคอุตสาหกรรม เพื่อแยกสกัดแร่และโลหะกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ รวมถึงแปรรูปเป็นพลังงานทดแทน ซึ่งที่ผ่านมา กพร. ได้ดำเนินการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิลซากแผงเซลล์แสงอาทิตย์อย่างต่อเนื่องและประสบความสำเร็จในการพัฒนาเครื่องจักรและอุปกรณ์ต้นแบบกระบวนการคัดแยกทางกายภาพสำหรับซากแผงเซลล์แสงอาทิตย์ที่ผ่านกระบวนการทางความร้อนเครื่องแรกในไทย
สำหรับ บริษัท เอส ซี ไอ อีโค่ เซอร์วิสเซส จํากัด ถือเป็นผู้ประกอบการชั้นนำด้านการจัดการกากอุตสาหกรรม โดยเป็นผู้ริเริ่มนำเทคโนโลยีมาพัฒนาต่อยอดเพื่อนำกากอุตสาหกรรมไปเผาร่วมกับการผลิตปูนซีเมนต์ (Co-Processing) เป็นเจ้าแรกของไทย จึงเป็นโอกาสอันดีที่ทั้ง 2 หน่วยงานได้ร่วมมือกันอย่างเป็นทางการ เพื่อเดินหน้าวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิลซากแผงเซลล์แสงอาทิตย์อย่างครบวงจร และผลักดันสู่การประยุกต์ใช้จริงในเชิงพาณิชย์ โดยทั้ง 2 หน่วยงานจะร่วมกันแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิลซากแผงเซลล์แสงอาทิตย์ที่ชำรุดหรือสิ้นอายุแบบครบวงจร เพื่อต่อยอดเทคโนโลยีรีไซเคิลซากแผงเซลล์แสงอาทิตย์ที่ กพร. ได้พัฒนาขึ้นให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นและขยายผลการใช้เทคโนโลยีในเชิงพาณิชย์
“ความร่วมมือระหว่าง กพร. และ เอส ซี ไอ อีโค่ฯ ในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบอุตสาหกรรมรีไซเคิลของประเทศไทย และเป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยแก้ไขปัญหาซากเซลล์แสงอาทิตย์ของประเทศที่มีปริมาณสะสมเพิ่มขึ้นในทุกปี โดยคาดการณ์ว่าในปี พ.ศ. 2585 ประเทศไทยจะมีขยะจากซากแผงเซลล์แสงอาทิตย์ รวมไม่น้อยกว่า 5 แสนตัน ดังนั้น เทคโนโลยีรีไซเคิลซากแผงเซลล์แสงอาทิตย์ที่จะเกิดขึ้นจากความร่วมมือนี้ จะเป็นต้นแบบของไทยที่จะช่วยให้เกิดการบริหารจัดการซากแผงเซลล์แสงอาทิตย์ที่ชำรุดหรือสิ้นอายุที่มีอยู่ในปัจจุบันได้อย่างมีประสิทธิภาพและครบวงจร” ดร.อดิทัต กล่าวทิ้งท้าย