สวนดุสิตโพล เปิดเผยผลสำรวจประชาชน กังวล “ค่าครองชีพ ราคาสินค้า หนี้สินี้ สิน และรายได้” โดยพบว่า กลุ่มตัวอย่างกังวลเรื่องค่าครองชีพและราคาสินค้ามากที่สุด โดย 72.55% และเห็นว่าเป็นปัญหาเร่งด่วนที่รัฐบาลต้องเร่งแก้ไข รองลงมาคือปัญหารายได้และหนี้สิน (69.09%) อย่างไรก็ตาม เมื่อถามถึงความเชื่อมั่นว่ารัฐบาลจะแก้ไขปัญหานี้ได้สำเร็จหรือไม่ 68.80% มองว่าปัญหาค่าครองชีพและราคาสินค้าไม่น่าจะแก้ไขได้สำเร็จ ขณะที่ 31.20% คิดว่ามีโอกาสสำเร็จ
ส่วนปัญหารายได้และหนี้สิน ยิ่งไปกว่านั้นนั้ 74.33% เชื่อว่ารัฐบาลไม่น่าจะแก้ปัญหานี้ได้ ซึ่งสูงกว่าค่าครองชีพอีกด้วย ผลโพลส่วนนี้สะท้อนให้เห็นว่าประชาชนกังวลเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ทางเศรษฐกิจของตนเอง และเป็นปัญหาหลักที่ทำ ให้เกิดความเดือดร้อนในขณะนี้
กลุ่มตัวอย่างมองว่าปัญหาในช่วงรัฐบาลแพทองธารไม่ได้แตกต่างจากรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ โดย 43.75% เห็นว่าปัญหายังคงมีอยู่เช่นเดิมและยังไม่เห็นการแก้ไขที่ชัดเจน โดยเฉพาะในเรื่องการทุจริตคอร์รัปชันและปัญหาทางการเมือง ขณะที่ 29.19% รู้สึกว่าหลายปัญหากลับแย่ลง ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำ วันมากขึ้น เช่น ค่าครองชีพและหนี้สิน ในส่วนของมาตรการแจกเงิน 10,000 บาทให้กลุ่มวัยรุ่น กลุ่มตัวอย่าง 34.18% เห็นว่าพอจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้บ้าง แต่เป็นเพียงผลในระยะสั้น
ขณะที่ 28.80% มองว่าช่วยได้เพียงเล็กน้อย เนื่องจากวัยรุ่นอาจใช้จ่ายเฉพาะในกลุ่มสินค้าหรือบริการที่จำกัด ผลโพลสะท้อนว่าประชาชนยังไม่เชื่อมั่น ในแนวทางการบริหารของรัฐบาลชุดปัจจุบัน เนื่องจากยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน และในบางแง่มุมสถานการณ์กลับย่ำแย่ลง แม้มีมาตรการแจกเงินหมื่นก็ไม่ได้ช่วยในด้านเศรษฐกิจมากนัก
นางสาวพรพรรณ บัวทอง ประธานสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ระบุว่า จากผลโพลสะท้อนชัดว่าปัญหาปากท้อง ยังคงเป็นความกังวลหลักของประชาชน แม้จะมีการเปลี่ยนรัฐบาลแต่หลายปัญหายังคงเดิมโดยยังไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น ทั้งปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน ปัญหาการเมือง หรือค่าครองชีพที่พุ่งไม่หยุด ด้านมาตรการแจกเงินหมื่นก็ยังถกเถียงกันถึงเรื่องประสิทธิภาพ เมื่อรวมทุกปัจจัยเข้าด้วยกันประชาชนจึงรู้สึกว่า“รัฐบาลก็ใหม่..แต่ทำ ไม ยังไม่แตกต่าง?
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ศิริมา บุญมาเลิศ โรงเรียนกฎหมายและการเมือง มหาวิทยาลัยสวนดุสิต จากผลโพลสะท้อนให้เห็นว่าปัญหาด้านเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับปากท้องของประชาชนเป็นเรื่องสำคัญเร่งด่วนที่ประชาชนคาดหวังให้รัฐบาลแก้ไขให้ดีขึ้น แต่เสียงของประชาชนกลับสะท้อนออกมาว่า รัฐบาลยังไม่สามารถแก้ปัญหาเรื่องปากท้องให้ดีขึ้นได้ แม้ว่ารัฐบาลได้ผลักดันนโยบายแจกเงิน10,000 บาท เพื่อหวังกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาแล้วก็ตาม
แต่ประชาชนยังมองว่าการแก้ปัญหายังไม่ตรงจุด เพราะตัวเลขจีดีพีที่รัฐบาลแถลงออกมาว่าขยับตัวดีขึ้น และจะโตมากขึ้นไปอีก กลับสวนทางกับสภาพเศรษฐกิจที่หดตัวและซบเซาลงอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ประชาชนมองว่านโยบายแจกเงิน 10,000 บาท ช่วยแก้ปัญหาปากท้องได้เพียงเล็กน้อยระยะสั้น แต่ไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่สำคัญเร่งด่วน เช่น ค่าครองชีพ ราคาสินค้า และหนี้สินได้ในระยะยาว
เมื่อนำผลงานของรัฐบาลปัจจุบันไปเปรียบเทียบกับรัฐบาลชุดที่แล้วจึงทำให้ประชาชนมองว่ายังไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ดีกว่าซ้ำร้ายปัญหาการทุจริต คอร์รัปชั่นยังมีมากกว่ารัฐบาลชุดก่อนที่ฉุดรั้งการพัฒนาประเทศมากขึ้นไปอีก