นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แถลงมติที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. ว่ามีมติเป็นเอกฉันท์ พยานหลักฐาน ที่ได้จากการไต่สวนข้อเท็จจริง ฟังไม่ได้ว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีกับพวกมีพฤติการณ์ว่า การกระทำต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กรณีสั่งการในเหตุการณ์สลายชุมนุม นปช. เมื่อวันที่ 10 เมษายนถึง 19 พฤษภาคม 2553 แล้วมีมติว่าข้อกล่าวหาไม่มีมูล แต่ให้ส่งกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI ดำเนินการตามหน้าที่กรณีมีผู้เสียชีวิตจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐในพื้นที่
ต่อมา นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และนายวรัญชัย โชคชนะ ยื่นหนังสือขอร้องให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทบทวนมติ ดังกล่าวอีกครั้ง ในประเด็นหลักๆ คือ การตัดสินในทางนโยบายกรณีใช้อาวุธสงครามกระสุนจริงและยุทธวิธีการชุ่มยิงถูกต้องหรือไม่ ไม่ยกเลิกการปฏิบัติในทันทีเมื่อทราบการเสียชีวิตของประชาชนและกรณีกล่าวอ้างว่ามีการปรับยุทธวิธีเป็นการตั้งด่านตรวจและมีจุดสกัดปิดล้อมเพื่อให้ชุมนุมเลิกไปเองนั้นแต่ตามวารสารกองทัพบกอธิบายว่าการดำเนินการดังกล่าวเป็นการปฏิบัติทางทหารเต็มรูปแบบมีใช้การปรับยุทธวิธีเป็นการตั้งด่านตรวจตามที่อ้าง การอ้างว่ามีบุคคลที่มีอาวุธปืนปะปนอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุมเป็นการอ้างโดยมิได้มีหลักฐานพยานใดๆรองรับ และประเด็นการไต่สวนข้อเท็จจริงที่ไม่รอบคอบไม่ถูกต้องไม่น่าเชื่อถือและสองมาตรฐาน
ทั้งนี้ ทางคณะกรรมการป้องกันปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ จึงมีมติ ไม่รื้อสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าว พร้อมย้ำว่า มติเดิมที่ ป.ป.ช. วินิจฉัยไปแล้วมีความถูกต้อง ส่วนหลักฐานใหม่ที่นายณัฐวุฒิ ยื่นเพิ่มเติมต่อ ป.ป.ช. นั้น ป.ป.ช.จะส่งไปให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พิจารณารวมกับคดีในส่วนของนายทหารระดับสูง และ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติ ที่ก่อนหน้านี้ ป.ป.ช. เคยส่งกลับไปให้ดีเอสไอดำเนินการในส่วนเจ้าหน้าที่