นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เฟส 2 ว่า ได้ประกวดราคาเพื่อก่อสร้างเกือบครบทุกสัญญาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นงานก่อสร้างอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่1 (ชั้น B2 ชั้น B1 และชั้น G) ลานจอดอากาศยานประชิดอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 และส่วนต่อเชื่อมอุโมงค์ด้านทิศใต้ (งานโครงสร้างและงานระบบหลัก) งานก่อสร้างระบบสาธารณูปโภค งานจ้างก่อสร้างอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (ชั้น 2-4) และส่วนต่อเชื่อมอุโมงค์ด้านทิศใต้ (งานระบบย่อย) และงานจัดซื้อพร้อมติดตั้งระบบขนส่งผู้โดยสารอัตโนมัติ (เอพีเอ็ม) เป็นต้น
ส่วนงานก่อสร้างภาพรวมมั่นใจว่าจะแล้วเสร็จใน เดือนพ.ย. 2562 จากนั้นจะดำเนินการทดสอบระบบ ประมาณ 2 ไตรมาส คาดว่าจะเปิดให้บริการทั้งหมด ได้ในกลางปี 2563
นายนิตินัย กล่าวยอมรับว่า ขณะนี้มีปัญหา งานจ้างก่อสร้างส่วนขยายอาคารผู้โดยสารทิศตะวันออก อาคารสำนักงานสายการบินและที่จอดรถด้านทิศตะวันออก เนื่องจากการเข้าพื้นที่ก่อสร้าง อาจจะส่งผลกระทบต่อการให้บริการผู้โดยสารเป็นอย่างมาก เนื่องจากจะต้องรื้อย้ายกระจกบริเวณฝั่งที่ติดเคาน์เตอร์เช็กอินของการบินไทย ซึ่งจะทำให้พื้นที่การให้บริการที่ลดลงประมาณ 30% ทำให้เกิดปัญหาแออัด
ดังนั้นทาง ทอท. ได้หารือกับทางสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เพื่อที่จะปรับเปลี่ยนการก่อสร้างใหม่ โดยจะย้ายไปก่อสร้างฝั่งตะวันตกก่อน ทั้งนี้ ทอท.ทำเรื่องเพื่อปรับแบบใหม่แล้ว โดยจะใช้งบประมาณ 50 ล้านบาท
นายนิตินัย กล่าวว่า สำหรับร่างเงื่อนไขการประกวดราคา (ทีโออาร์) นั้น ในส่วนของอาคารสำนักงานสายการบินและที่จอดรถนั้นได้ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นก็จะเหลืองานขยายอาคารผู้โดยสารทิศตะวันตก โดยทั้งหมดนี้จะสามารถประกวดราคาได้ในปีนี้แน่นอน ตั้งเป้าหมายแล้วเสร็จกลางปี 2563 จากนั้นก็จะมีการทดสอบระบบเพื่อเปิดให้บริการต่อไป
สำหรับการเปิดประมูลพื้นที่เชิงพาณิชย์หรือพื้นที่ร้านค้าปลอดอากร (ดิวตี้ฟรี) ในสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อทดแทนบริษัท คิงเพาเวอร์ ที่จะหมดอายุสัญญาเดือน ก.ย. 2563 นั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดทำทีโออาร์ ส่วนของการแบ่งสัญญาพื้นที่ การแบ่งหมวดรายการสินค้า เป็นต้น เนื่องจากอาจส่งผลให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบในการแข่งขัน รวมถึงต้องคำนึงถึงความสะดวกของผู้โดยสารด้วย มั่นใจว่าภายในสิ้นปี 2561 นี้ จะต้องได้ผู้ชนะการประมูลรับสัมปทานรายใหม่แน่นอน
โครงการดังกล่าว แบ่งการประกวดราคาออกเป็น 7 สัญญา วงเงินรวมประมาณ 6.25 หมื่นล้านบาท เพื่อขยายขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารได้เพิ่มขึ้นเป็น 60 ล้านคนต่อปี จากปัจจุบันรองรับได้ 45 ล้านคนต่อปี