ปากเสียงของคนท้องถิ่น เพื่อการพัฒนาประเทศ
ความสัมพันธ์ไทย - จีน และ เศรษฐกิจเพื่อนบ้าน ย้อนกลับ
หลักสูตรผู้บริหารรุ่นใหม่ธุรกิจไทย–จีน จัดอบรมพิเศษหัวข้อ สงครามการค้าจีน–สหรัฐฯ และผลกระทบต่อไทย
03 ส.ค. 2568

 
หลักสูตรผู้บริหารรุ่นใหม่ธุรกิจไทย–จีน จัดอบรมพิเศษหัวข้อ “สงครามการค้าจีน–สหรัฐฯ และผลกระทบต่อไทย” โดย รศ.ดร.สมภพ มานะรังสรรค์
กรุงเทพฯ – วันที่ 2 สิงหาคม 2568 หลักสูตรผู้บริหารรุ่นใหม่ธุรกิจไทย–จีน รุ่นที่ 2 (บทจ. Young 2) ได้จัดการอบรมพิเศษในหัวข้อ “ผลกระทบด้านการค้า/สงครามทางการค้าระหว่างจีนและอเมริกา ประเทศไทยตกอยู่ที่ไหน” ณ โรงแรมดิ เอมเมอรัลด์ กรุงเทพฯ โดยได้รับเกียรติจาก รองศาสตราจารย์ ดร.สมภพ มานะรังสรรค์ อธิการบดีสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ เป็นผู้บรรยายให้ความรู้และวิเคราะห์เชิงลึกถึงพลวัตทางเศรษฐกิจระหว่างสองมหาอำนาจ พร้อมชี้โอกาสและความท้าทายของประเทศไทยในบริบทโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
หลักสูตรนี้จัดขึ้นโดยความร่วมมือของสถาบันสื่อและบริหารธุรกิจไทย–จีน สมาคมผู้สื่อข่าวไทย–จีน และหอการค้าไทย–จีน โดยได้รับการสนับสนุนจากสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย และ China Media Group มีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างองค์ความรู้ด้านธุรกิจในบริบทไทย–จีน และส่งเสริมเครือข่ายความร่วมมือระหว่างผู้บริหารรุ่นใหม่จากภาครัฐ ภาคเอกชน และสื่อมวลชน เพื่อขับเคลื่อนความสัมพันธ์ไทย–จีนอย่างยั่งยืนในอนาคต
 
พลวัตเศรษฐกิจจีน: จากยุคเปิดประเทศสู่เวทีโลก
รศ.ดร.สมภพ เริ่มต้นการบรรยายด้วยการวิเคราะห์เส้นทางการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน นับตั้งแต่การอสัญกรรมของประธานเหมา เจ๋อตุงในปี 1976 จนถึงยุคของเติ้ง เสี่ยวผิง ที่ผลักดันนโยบายเปิดประเทศและปฏิรูปเศรษฐกิจในช่วงปลายทศวรรษ 1970 ทำให้จีนสามารถพัฒนาเศรษฐกิจจนเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในช่วงทศวรรษ 1990 เป็นต้นมา
เขาเน้นว่า จีนให้ความสำคัญกับ 7 ปัจจัยหลักในการพัฒนา ได้แก่ การขนส่ง, การสื่อสาร, การเงิน, ระบบเศรษฐกิจแบบตลาด, เทคโนโลยี, ทุนมนุษย์ และเสถียรภาพทางการเมือง โดยเฉพาะในด้านเทคโนโลยี จีนมุ่งเน้นการวิจัยและพัฒนาใน 5 สาขาหลัก ได้แก่ เครื่องจักรกล, เทคโนโลยีชีวภาพ, สารสนเทศ, นาโนเทคโนโลยี และหุ่นยนต์
 
4 รูปแบบเศรษฐกิจ: เข้าใจโครงสร้างพลวัตโลก
รศ.ดร.สมภพ ได้วิเคราะห์เศรษฐกิจโลกผ่านกรอบคิด 4 รูปแบบ ได้แก่:
1.    เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยทรัพยากรธรรมชาติ
ใช้ทรัพยากรในประเทศเป็นฐานรายได้ เช่น น้ำมัน แร่หายาก และสินค้าเกษตร ตัวอย่างเช่นประเทศในตะวันออกกลาง หรือจีนที่มีแร่ Rare Earth เป็นจำนวนมาก
2.    เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยการผลิต
พัฒนาอุตสาหกรรมและห่วงโซ่อุปทาน เช่น จีนที่ขึ้นชื่อว่าเป็น “โรงงานโลก” และสหรัฐฯ ในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม
3.    เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยบริการ
อาศัยรายได้จากบริการ เช่น การท่องเที่ยว การเงิน การศึกษา ตัวอย่างเช่น ไทย ญี่ปุ่น และสหรัฐฯ ที่มีรายได้จากบริการอาหาร บันเทิง และกีฬา
4.    เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยการเงิน
เน้นการลงทุนและนวัตกรรมทางการเงิน เช่น สหรัฐฯ และสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งมีตลาดทุนที่ทรงอิทธิพลต่อเศรษฐกิจโลก
 
จีนกำลังเปลี่ยนผ่าน: จาก “โรงงานโลก” สู่เศรษฐกิจบริการ
ในขณะที่สหรัฐอเมริกาเริ่มกลับมาให้ความสำคัญกับการผลิตและทรัพยากรภายในประเทศ จีนกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านจากการเป็นประเทศอุตสาหกรรม ไปสู่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยภาคบริการ ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยว บันเทิง กีฬา หรือบริการด้านสุขภาพ โดยมีปัจจัยสนับสนุนสำคัญ เช่น การขยายตัวของเมือง เทคโนโลยีดิจิทัล และ AI
การเปลี่ยนผ่านนี้ไม่เพียงแค่สะท้อนยุทธศาสตร์ใหม่ของจีน แต่ยังส่งผลกระทบต่อโครงสร้างเศรษฐกิจโลกและห่วงโซ่การผลิตที่ประเทศไทยเองต้องให้ความสำคัญ
 
บทเรียนสำหรับไทย: รับมือสงครามการค้าด้วยการพัฒนาภาคบริการ
รศ.ดร.สมภพ สรุปว่า ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลก ประเทศไทยควรมุ่งเน้นการพัฒนาภาคบริการควบคู่ไปกับการยกระดับภาคการผลิต โดยเฉพาะการเชื่อมโยงกับนวัตกรรม เทคโนโลยี และเศรษฐกิจดิจิทัล เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน
หลักสูตรผู้บริหารรุ่นใหม่ธุรกิจไทย–จีน รุ่นที่ 2 จึงไม่เพียงเป็นเวทีพัฒนาความรู้ด้านเศรษฐกิจและธุรกิจระหว่างประเทศ แต่ยังเปิดโอกาสให้ผู้นำรุ่นใหม่จากหลากหลายภาคส่วนได้มีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางความร่วมมือไทย–จีนในอนาคต
 


หนังสือพิมพ์ OPT NEWS ONLINE
วันที่ 16 - 31 กรกฎาคม 2568
อปท.นิวส์เชิญเป็นแขก ดูทั้งหมด
04 ส.ค. 2568
การเลือกตั้งนายกองค์การบริหาร ส่วนจังหวัด (นายก อบจ.) ลำสุดเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา ถือเป็นการเลือกตั้ง ท้องถิ่นทั่วประเทศตามวาระครั้งใหญ่ครั้งหนึ่ง แม้จะมีเพียง 47 จังหวัดเท่านั้น เนื่องจากมีการ ลาออกก่อนกำหนดไปก่อนหน้านี้หลายจังหวัด อย่างไรก็ต...