นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ผู้ประสานงานโครงการ #ช่วยสับปะรด2018 ณ ลานพระแม่ธรณี กล่าวว่า ต้องขอบคุณกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ที่ชี้แจงสถานการณ์วิกฤติสับปะรดตามระบบราชการโดยอ้างว่ากระทรวงพาณิชย์เป็นฝ่ายเลขานุการคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาและแก้ไขปัญหาด้านการตลาดและการส่งออกสับปะรด ได้มีการประชุมเพื่อวางมาตรการช่วยเหลือแล้ว 2 ครั้ง ในวันที่ 21 มีนาคม 2561 และวันที่ 12 มิถุนายน 2561 ซึ่งได้มีมติให้ดำเนินมาตรการต่างๆแล้ว
นางมัลลิกา กล่าวว่า แสดงว่าทางราชการและรัฐบาลก็รู้ถึงความเดือดร้อนของประชาชนแต่รัฐมนตรีขาดศักยภาพและความใส่ใจหรือไม่ อย่างไรก็ขอบคุณราชการที่พยายามตามศักยภาพของตนเองแต่ตัวเลขปริมาณสับปะรดที่แจ้งว่านับดูแล้วอุ้มเกษตรกรไปจำนวนหลัก 10,000 ตัน ขณะที่ปริมาณสับปะรดทุกจังหวัดปีนี้ล้นตลาดร่วม 1,400,000 ตันใช่หรือไม่และมีส่วนหนึ่ง 20-40 % ที่เน่าเสียหายไปแล้งเพราะมาตรการราชการรองรับไม่ทันจึงอยากให้นายสนธิรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ไปที่อำเภอวังชิ้น จังหวัดแพร่,ตำบลเสด็จ อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง และจังหวัดเชียงราย แล้วถามเกษตรกรดูว่าผลผลิตที่เน่าเสียหายไปนั้นจำนวนเท่าใด และผลผลิตยังอยู่ในสวนปัจจุบันนี้เป็นอย่างไรภายใน 3-5 วันถ้าไม่เกิดการรับซื้อสับปะรดยังจะกินได้หรือเน่าเสียหาย
"วันนี้ถ้าเอารถ 10 ล้อไปจอด 100 คันรับซื้อผลผลิตชาวบ้านภาคเหนือก็ยังไม่หมดเลย กระทรวงพาณิชย์ต้องทำต่อเนื่องจึงจะช่วยได้" นางมัลลิกา กล่าว
การแก้ไขปัญหาในภาวะวิกฤติต้องอาศัยบุคคลซึ่งมีอำนาจระดับรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีไม่ใช่ไปอาศัยมือของอธิบดีกรมการค้าภายเท่านั้น ในฐานะที่ได้ปรึกษาหารือกับกลุ่มเกษตรกรไปเบื้องต้นแล้วขณะนี้สับปะรดที่ยังอยู่ในไร่ทุกคนมีความหวังว่าจะขายได้เราจึงจะทำโครงการต่อไปในนาม มูลนิธิแพร่น้ำใจและกลุ่มคนไทยช่วยเกษตรกรเพราะการให้ข้อมูลของกรมการค้าภายมาในวันนี้กลับไม่ได้เป็นประโยชน์ทางด้านจิตวิทยากลไกราคาอะไรกับเกษตรกรเลย