เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2568 ที่ ห้องประชุมกลุ่มการพยาบาล ชั้น ๕ อาคารสนับสนุนโรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช นายแพทย์จิราภัทร กัลยาณพจน์พร รองผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์โรงพยาบาลเจ้าพระยมราช เป็นประธานเปิด เปิดโครงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในกลุ่มผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน Challenge ๗๗ วันชวนกันลดน้ำหนัก พร้อมกล่าวว่า ความสำคัญของการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน ซึ่งหากผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกิน มีพฤติกรรมการดูแลตนเองอย่างถูกต้องเหมาะสม จะช่วยป้องกันโรคแทรกช้อนที่ตามมา โดยเฉพาะโรค ไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคไขมันในเลือดสูง โรคความดันโลหิตสูง และโรคมะเร็ง ช่วยให้ผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกินมีคุณภาพชีวิตที่ดี การจัดอบรมโครงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในกลุ่มผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกิน ในครั้งนี้ ได้ใช้หลัก ๓อ. ในการจัดกิจกรรม จึงหวังว่าผู้เข้าร่วมอบรมทุกท่านจะใช้โอกาสครั้งนี้ เปิดรับองค์ความรู้เพื่อนำไปปรับใช้ในการดูแลตนเองให้สามารถควบคุมน้ำหนักได้ตามเกณฑ์
ด้านนายประสิทธิ กล้าหาญ หัวหน้ากลุ่มงานสุขศึกษา กล่าวเพิ่มเติมว่า จากข้อมูลภาวะสุขภาพคนวัยทำงาน ของกรมควบคมโรคเกี่ยวกับภาวะอ้วนและโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ในประเทศไทยปี ๒๕๖๕ พบว่า คนไทยเสียชีวิตจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรังเป็นอันดับหนึ่ง สูงถึงร้อยละ ๗๕ ของการเสียชีวิตทั้งหมด คนไทยป่วยด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังสูงถึง ๑๔ ล้านคน และเสียชีวิตมากกว่า ๔๐๐,๐๐๐ คนต่อปี ภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วนเกิดจากภาวะ ที่ร่างกายมีไขมันสะสมมากเกินไปจนส่งผลให้ระบบต่างๆ ในร่างกายเกิดความผิดปกติทางเมตาบอลิกทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง ไขมันในเลือดสูง เพิ่มการอักเสบในร่างกาย ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ได้แก่ โรคเบาหวาน โรคหัวใจโรคหลอดเลือดสมองโรคโขมันในเลือดสูง โรคความตันโลหิตสูง และโรคมะเร็งปัจจุบันพบว่า ๑ ใน 4 ของประชากรโลก มีภาวะน้ำหน้าเกินหรืออ้วนและมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้น สำหรับประเทศไทยมีภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วนร้อยละ ๔๒.๒ และอ้วนลงพุงร้อยละ ๓๙.๔ ซึ่งสาเหตุสำคัญที่ทำให้ เกิดโรคมาจากพฤติกรรมสุขภาพที่ไม่เหมาะสม การมีวิถีชีวิตแบบเนื่อยนิ่ง มีกิจกรรมทางกายไม่เหมาะสม การรับประทานอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โรคอ้วนเมื่อเป็นแล้วจำเป็นต้องได้รับการตรวจรักษาร่วมกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหรือวิถีชีวิต เพื่อควบคุมน้ำหนักและรอบเอวให้ได้ตามเกณฑ์ หากผู้ป่วยมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลตนเองได้เหมาะสม จะช่วยควบคุมน้ำหนักและรอบเอวได้ดี ซึ่งจะช่วยให้ผู้ผู้มีภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน มีคุณภาพชีวิตที่ดี ป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง และลดผลกระทบทางเศรษฐกิจของประเทศเพื่อส่งเสริมให้ผู้มีภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน มีความรู้และทักษะทักษะที่จำเป็นในการดูแลตนเองได้ดีเพิ่มขึ้น กลุ่มงานสุขศึกษาจึงได้จัดโครงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในกลุ่มผู้มีภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน ด้วยหลัก ๓อ.คือ การรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย และการจัดการอารมณ์ การอบรมครั้งนี้ได้รับความกรุณาจากท่านวิทยากร แพทย์หญิงวรชยา ตั้งทรีวิพัฒน์ แพทย์ด้านเวชศาสตร์ครอบครัว หัวหน้ากลุ่มงานเวชกรรมสังคม บรรยายวิชาการความรู้เรื่องโรคอ้วน และวิทยากรจากกลุ่มงานสุขศึกษาร่วมจัดฐานการเรียนรู้ ผู้เข้าร่วมอบรมครั้งนี้ประกอบด้วย ประชาชนทั่วไป จำนวน ๓๗ คน เจ้าหน้าที่โรงพยาบาล จำนวน 6 คน