หลักสูตร Super LBA รุ่นที่ 2 ติวเข้ม “เทคนิคเจรจาต่อรองและระงับข้อพิพาทสำหรับผู้บริหาร” พร้อมเปิดกิจกรรม workshop สำหรับผู้บริหารระดับสูงเป็นครั้งแรกในประเทศไทย
คณะนิติศาสตร์ปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) โดย ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ คณบดีคณะนิติศาสตร์ปรีดี พนมยงค์ และประธานกรรมการหลักสูตร Super LBA รุ่นที่ 2 เดินหน้าพัฒนาผู้บริหารยุคใหม่ผ่านการจัดการเรียนการสอนในหลักสูตร Super LBA รุ่นที่ 2 ใน Module 4: Dispute Resolution and Moot Court Workshop เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2568 โดยมีคุณรัฐการ บุญเหนือ และทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้านการระงับข้อพิพาทจาก บริษัท วัตสัน ฟาร์ลี แอนด์ วิลเลียมส์ (ประเทศไทย) จำกัด มาร่วมถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจและทักษะที่จำเป็นสำหรับผู้บริหารในการจัดการกับความขัดแย้งในยุคปัจจุบัน
การบรรยายมุ่งเน้นการเสริมสร้างทักษะการเจรจาต่อรองและการระงับข้อพิพาท โดยแบ่งเนื้อหาออกเป็นสองส่วนหลัก ได้แก่ การเจรจาต่อรอง และการระงับข้อพิพาท เพื่อให้ผู้เข้าอบรมเข้าใจถึงจุดเชื่อมโยงและความสำคัญของการแก้ไขความขัดแย้งในสถานการณ์ต่างๆ การเจรจาที่มีประสิทธิภาพมุ่งเน้นการแสวงหาประโยชน์ร่วมกัน ลดข้อขัดแย้ง สร้างความสัมพันธ์ที่ดีในระยะยาว และต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความไว้เนื้อเชื่อใจ โดยมีวัตถุประสงค์สำคัญคือการหาข้อตกลงที่ดีที่สุดสำหรับทุกฝ่าย พร้อมพัฒนาความสัมพันธ์ทางธุรกิจอย่างยั่งยืน
ในช่วงต้นของการบรรยาย คุณรัฐการ ได้ชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ของการหันหน้าเข้าหากันเพื่อหาทางออกร่วมกัน พร้อมอ้างอิงคำกล่าวของบุคคลสำคัญระดับโลกอย่างประธานาธิบดี John F. Kennedy และ Nelson Mandela ซึ่งจากชีวประวัติของทั้งสองท่านแสดงให้เห็นว่าการเจรจาเป็นเครื่องมือสำคัญในการคลี่คลายปัญหาที่ซับซ้อน
ต่อเนื่องจากแนวคิดเรื่องการเจรจา “คุณรัชพล ศิริกุลจิตต์” ได้กล่าวเสริมถึงการวิเคราะห์ SWOT Analysis ที่เน้นการวิเคราะห์จุดแข็งจุดอ่อนของตัวเอง และ มองไปถึงโอกาสและอุปสรรคภายนอก ซึ่งช่วยให้ผู้บริหารเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่การเจรจาได้อย่างรอบด้าน เพราะการทำ SWOT จะช่วยให้ผู้บริหารไม่เดินเข้าไปแบบมืดบอด แต่รู้ว่าจะเน้นตรงไหนและควรหลีกเลี่ยงอะไร พร้อมทั้งย้ำหลักคิดสำคัญว่า “อ่อนที่คน แข็งที่ปัญหา” เพื่อให้สามารถบริหารจัดการความขัดแย้งและบรรลุเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่คุณรัชพลได้นำเสนอคือ การค้นหาเจตนาที่แท้จริงเบื้องหลังความต้องการของอีกฝ่าย ไม่ใช่เพียงสิ่งที่แสดงออกมา โดยยกตัวอย่างสถานการณ์ในห้องสมุดที่มีคนต้องการเปิดพัดลมเพราะอากาศร้อน และอีกคนต้องการเปิดหน้าต่างมากกว่าเพราะไม่อยากให้เอกสารกระดาษปลิวจากพัดลม พร้อมอธิบายว่า “เราต้องพยายามหา 'สิ่ง' ที่อยู่เบื้องหลังคำพูดหรือสิ่งที่เขาแสดงออกมา เพื่อให้ทราบว่าสิ่งที่เขาต้องการที่แท้จริงคืออะไร”
เนื้อหาการบรรยายยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการบันทึกข้อตกลงเป็นลายลักษณ์อักษร ไม่ว่าจะเป็นสัญญา หนังสือแสดงเจตจำนง (LOI) บันทึกความเข้าใจ (MOU) รายงานการประชุม (Term Sheet) เพื่อใช้เป็นหลักฐานและสามารถบังคับใช้ได้ในอนาคต พร้อมกันนี้ยังอธิบายถึงทางเลือกในการระงับข้อพิพาทนอกเหนือจากการฟ้องร้องศาล เช่น การไกล่เกลี่ย (Mediation) และการอนุญาโตตุลาการ (Arbitration) และเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของแต่ละทางเลือก เช่น ความเป็นอิสระในการกำหนดกระบวนการ ความลับ การบังคับใช้คำชี้ขาดภายใต้อนุสัญญาว่าด้วยการยอมรับและบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการต่างประเทศ (New York Convention 1958) และความคุ้มค่าเรื่องเวลาและค่าใช้จ่าย
สำหรับเครื่องมือทางยุทธศาสตร์ด้านกฎหมาย คุณรัฐการ แนะนำถึง BATNA (Best Alternative to a Negotiated Agreement) และ WATNA (Worst Alternative to a Negotiated Agreement) เพื่อให้ผู้บริหารสามารถประเมินทางเลือกที่ดีที่สุดและแย่ที่สุดหากการเจรจาไม่สำเร็จ โดยอธิบายว่าเครื่องมือนี้เหมือนสามัญสำนึกที่ใช้ประเมินและกำหนดจุดว่า “ถ้าเรากำลังเจรจากับใคร เราจะหยุดตอนไหน หรือเราจะไปต่อ” เพื่อไม่ให้เสียเวลากับสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้น
เพื่อให้เข้าใจรอบด้านในอีกแง่มุมหนึ่งของการเจรจา คุณรัชพล ได้แชร์ประสบการณ์จากกรณีศึกษาจริงที่สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของจังหวะเวลาในการเจรจา โดยกล่าวว่า "บางทีในการเจรจา ถ้าเราสามารถรอระยะเวลาได้ มันอาจจะได้ผลดีมากกว่าการที่เราใจร้อนแล้วรีบไปถึงหาข้อสรุป" พร้อมยกตัวอย่างกรณีบริษัทประกันภัยที่เผชิญข้อเรียกร้องมูลค่า 40 ล้านบาท แต่ขาดหลักฐานที่ชัดเจน การวิเคราะห์อย่างรอบคอบและรอจังหวะเวลาที่เหมาะสมจึงช่วยให้การแก้ไขปัญหามีประสิทธิภาพมากขึ้นจนนำไปสู่การยุติข้อเรียกร้องได้อย่างสมบูรณ์
การได้ร่วมเรียนรู้กับผู้เชี่ยวชาญจากบริษัท Watson Farley & Williams ซึ่งเป็นสำนักงานกฎหมายที่มีชื่อเสียงระดับโลก ในด้านการระงับข้อพิพาทและอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ ยิ่งตอกย้ำถึงคุณภาพของหลักสูตร Super LBA ที่ไม่เพียงมุ่งเน้นความรู้เชิงวิชาการ แต่ยังเปิดพื้นที่ให้ผู้บริหารได้ฝึกฝนทักษะที่จำเป็นต่อการตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการทำงานได้จริงในทันที
ถัดจากการบรรยายใน Session แรก อาจารย์ ดร. สุทธิพล ทวีชัยการ คณบดีคณะนิติศาสตร์ปรีดี พนมยงค์ ประธานหลักสูตร Super LBA รุ่นที่ 2 ได้นำคณะผู้รับการอบรมไปยังห้องปฏิบัติการศาลจำลองใน Session เตรียมความพร้อมและมอบหมายภารกิจการทำ Moot Court Workshop โดย Session นี้ แบ่งออกเป็น 3 ช่วง ช่วงแรกเป็นช่วงแนะนำระบบศาลยุติธรรม ห้องพิจารณาของศาล การสืบพยาน และการรับฟังพยานหลักฐานของศาลยุติธรรม เพื่อให้ทราบความแตกต่างของคดีแพ่งและคดีอาญา โดยอาจารย์ศรีสุรักษ์ สีวันนา อาจารย์ประจำและหัวหน้าศูนย์ให้คำปรึกษาทางกฎหมาย คณะนิติศาสตร์ปรีดี พนมยงค์ เป็นผู้บรรยาย ช่วงที่สอง เป็นการแนะนำบทบัญญัติต่างๆ ของกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับข้อพิพาทที่จะนำมาเป็นกรณีศึกษาใน Moot Court Workshop ซึ่งบรรยายโดย รศ.อัจฉรียา ชูตินันทน์ รองคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะนิติศาสตร์ปรีดี พนมยงค์ ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายอาญา และช่วงสุดท้าย เป็นการแนะนำการเตรียมตัวและเทคนิคในการปฏิบัติเพื่อให้ Moot Court Workshop ประสบความสำเร็จ โดยอาจารย์ ดร. สุทธิพล ทวีชัยการ โดยในวันที่ 5 กันยายน 2568 จะเป็นการจัดกิจกรรม Moot Court Workshop ซึ่งจะมีการกำหนดบทบาทสมมติให้ผู้รับการอบรมมี Play Roles เป็นพนักงานอัยการโจทก์ ทนายจำเลย จำเลย พยานฝ่ายโจทก์และจำเลย ฯลฯ ซึ่งจะเป็น Moot Court Workshop ในคดีอาญาเพื่อฝึกให้ผู้เข้ารับการอบรมมีประสบการณ์ว่าความในศาลยุติธรรม เสมือนอยู่ในศาลจริงๆ
“ยังไม่เคยมีหลักสูตรใดๆ ที่นำ Moot Court Workshop ไปใช้ในการอบรมผู้บริหารระดับสูง ซึ่งผมมองว่ากิจกรรมนี้มีประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะไม่เพียงแต่จะเป็นการเพิ่มพูนความเข้าใจด้านกฎหมาย แต่ยังช่วยเสริมทักษะการบริหารจัดการความเสี่ยง การตัดสินใจ การฝึกไหวพริบการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า การทำงานเป็นทีม การสื่อสารและโน้มน้าวใจ ตลอดจน Soft Skills ที่จำเป็นต่อการเป็นผู้นำองค์กร” ดร.สุทธิพล กล่าวในตอนท้าย