DPU จัดพิธีลงนามความร่วมมือ สร้างเครือข่ายกฎหมายการแพทย์–เวชศาสตร์ความงามรวมพลังนักศึกษา-ศิษย์เก่า ยกระดับมาตรฐานวิชาชีพและคุ้มครองสิทธิประชาชน
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างชมรมนักศึกษาบัณฑิตศึกษาและศิษย์เก่ากฎหมายการแพทย์แห่งประเทศไทย กับ ชมรมนักศึกษาบัณฑิตศึกษาและศิษย์เก่าเวชศาสตร์ความงามแห่งประเทศไทย โดยมี นพ.สุริธีรเวช นพรัตน์ชนม์ ประธานชมรมนักศึกษาบัณฑิตศึกษาและศิษย์เก่ากฎหมายการแพทย์แห่งประเทศไทย และ นพ.ธนพนธ์ รอดเดช รองประธานชมรมนักศึกษาบัณฑิตศึกษาและศิษย์เก่าเวชศาสตร์ความงามแห่งประเทศไทย ร่วมลงนาม และได้รับเกียรติจาก ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นพ.มาศ ไม้ประเสริฐ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แบบบูรณาการ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ และ รองศาสตราจารย์ พินิจ ทิพย์มณี ผู้อำนวยการหลักสูตรนิติศาสตรดุษฎีบัณฑิต และ หลักสูตรนิติศาสตรมหาบัณฑิต คณะนิติศาสตร์ปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ร่วมเป็นสักขีพยาน พร้อมเปิดตัว “เครือข่ายนักศึกษาบัณฑิตและศิษย์เก่าด้านกฎหมายการแพทย์และเวชศาสตร์ความงามแห่งประเทศไทย” เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2568 ณ ห้องประชุมชั้น 1 อาคารเฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
ความร่วมมือครั้งนี้เกิดจากการริเริ่มของนักศึกษาบัณฑิตศึกษา วิทยาลัยการแพทย์แบบบูรณาการ และ คณะนิติศาสตร์ปรีดี พนมยงค์ DPU มีวัตถุประสงค์เพื่อเชื่อมโยงศาสตร์กฎหมายและการแพทย์เข้าด้วยกัน โดยครอบคลุมความร่วมมือหลัก 5 ด้าน ได้แก่ การจัดกิจกรรมทางวิชาการและพัฒนาหลักสูตรข้ามสาขา เช่น กฎหมายการแพทย์สำหรับแพทย์ความงาม และ เวชศาสตร์ความงามสำหรับนักกฎหมาย , การดำเนินงานวิจัยและสร้างฐานข้อมูลกลางด้านคดีความงามและข้อพิพาททางกฎหมาย, การพัฒนาศักยภาพบุคลากรผ่านการแลกเปลี่ยนผู้เชี่ยวชาญและการอบรมข้ามสาขา, การจัดตั้งเครือข่าย Thailand Graduate Students and Alumni Alliance for Medical Law and Aesthetic Medicine เพื่อดำรงฐานะกลไกกลางในการให้คำปรึกษาและสนับสนุนการแต่งตั้งพยานผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงการยกระดับความร่วมมือสู่เวทีสากล ผ่านการจัดประชุมนานาชาติ การสร้างพันธมิตรกับต่างประเทศ และ การดำเนินโครงการเพื่อสังคม อาทิ “ความงามที่ปลอดภัยและยุติธรรม”
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นพ.มาศ ไม้ประเสริฐ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แบบบูรณาการ DPU กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นการรวมพลังของนักศึกษาและศิษย์เก่า DPU เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับวิชาชีพการแพทย์แบบบูรณาการ และยกระดับมาตรฐานให้เป็นที่ยอมรับทางวิชาการ โดยเฉพาะในช่วงที่การแพทย์นอกระบบการแพทยศาสตร์ยังไม่ได้รับการรับรองอย่างจริงจังโดยเฉพาะการทำงานร่วมกับคณะนิติศาสตร์ ปรีดี พนมยงค์ DPU ที่มีบทบาทสำคัญในการคุ้มครองสิทธิและยกระดับมาตรฐานที่มั่นคงยิ่งขึ้น
“การเรียนรู้ไม่ควรเป็นเพียงการสะสมความรู้จน ‘ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด’ แต่ต้องเรียนอย่างเป็นระบบและต่อยอดได้จริง ผมขอชื่นชมนักศึกษาที่เปิดกว้างสู่การเรียนรู้สหวิชา ทั้งด้านการแพทย์ไทยและนิติศาสตร์ ซึ่งจะช่วยสร้างเครือข่ายวิชาชีพให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ความร่วมมือครั้งนี้จึงเปรียบเสมือน ‘การเริ่มต้นชีวิตคู่’ ที่ทุกฝ่ายต้องมีพันธสัญญาในการสานต่ออย่างจริงจัง ด้วยการกำหนดเป้าหมายร่วมกันและลงมือทำอย่างต่อเนื่องเพื่อนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม” คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แบบบูรณาการ DPU กล่าว
นอกจากนี้ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นพ.มาศ ย้ำถึงความจำเป็นของการมีสมาคมหรือองค์กรที่มีสถานะทางกฎหมาย เพื่อทำหน้าที่เป็นตัวแทนในการประสานงานกับหน่วยงานภาครัฐ ที่จะช่วยให้เครือข่ายมีพลังในการดำเนินงานมากยิ่งขึ้น พร้อมสร้างความน่าเชื่อถือและการยอมรับในระดับสังคม โดยเชื่อว่าความร่วมมือครั้งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างเครือข่ายที่มั่นคงและยั่งยืน เพื่อประโยชน์ของนักศึกษา ศิษย์เก่า และสังคมในอนาคตต่อไป
ด้าน รองศาสตราจารย์ พินิจ ทิพย์มณี ผู้อำนวยการหลักสูตรนิติศาสตรดุษฎีบัณฑิต และ หลักสูตรนิติศาสตรมหาบัณฑิต คณะนิติศาสตร์ปรีดี พนมยงค์ DPU เปิดเผยว่า ข้อเท็จจริงที่ผ่านมา กฎหมายมักดำเนินไปอย่างล่าช้ากว่านวัตกรรมทางการแพทย์ และไม่อาจรองรับพลวัตรแห่งการเปลี่ยนแปลงของสังคมได้อย่างทันท่วงที การจัดตั้งเครือข่ายและการรวมพลังในครั้งนี้ มีความสำคัญในฐานะกลไกเชิงโครงสร้างที่จะผลักดันให้กฎหมายมีความทันสมัย สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญที่รับรองสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ทั้งสิทธิในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เสรีภาพในการกำหนดชีวิตตนเอง และ สิทธิในการได้รับบริการทางการแพทย์ที่มีมาตรฐานอย่างเท่าเทียม โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับนวัตกรรมทางการแพทย์ฉุกเฉิน การแพทย์เพื่อการสร้างเสริมสุขภาพ และเวชศาสตร์ความงาม ล้วนเป็นสิทธิด้านสุขภาพที่สัมพันธ์โดยตรงกับคุณภาพชีวิตและความมั่นคงของประชาชนในอนาคต
“การแพทย์และกฎหมายต้องเดินหน้าไปพร้อมกัน กฎหมายเป็นเครื่องมือที่มนุษย์สร้างขึ้นและสามารถพัฒนาได้ตลอดเวลา หากมีความร่วมมือร่วมใจ กฎหมายต้องไม่เป็นอุปสรรค แต่จะกลายเป็นพลังสำคัญในการสนับสนุนให้การแพทย์ไทยก้าวทันโลก และตอบโจทย์สังคมได้อย่างแท้จริง พร้อมให้คำมั่นว่าจะสนับสนุนนักศึกษาและศิษย์เก่าที่ร่วมกันขับเคลื่อนเครือข่าย เพื่อให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป” รองศาสตราจารย์ พินิจ ทิพย์มณี กล่าวทิ้งท้าย
ขณะที่ ดร.นพ.ไพโรจน์ บุญศิริคำชัย อาจารย์ด้านสาขากฎหมายการแพทย์ คณะนิติศาสตร์ปรีดี พนมยงค์ DPU และ ผู้ก่อตั้งหลักสูตรนิติศาสตรมหาบัณฑิต สาขากฎหมายการแพทย์ ในประเทศไทย เปิดเผยว่า สาขากฎหมายการแพทย์ และ สาขาความงาม คือ สาขาที่ได้รับความสนใจในปัจจุบันอย่างมาก เนื่องจากสิทธิในการกำหนดอัตลักษณ์เฉพาะบุคคล คือสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ เพื่อเป็นหลักประกันในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และเสรีภาพในการกำหนดชีวิตตนเอง เป็นหัวใจสำคัญของการดำรงอยู่ในสังคมประชาธิปไตย ในทำนองเดียวกันสิทธิในการได้รับบริการทางการแพทย์ที่มีมาตรฐานก็เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่รัฐธรรมนูญบัญญัติรับรอง เพื่อสร้างหลักประกันให้ประชาชนได้รับความคุ้มครองด้านสุขภาพอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม
“กฎหมายไม่เคยหยุดนิ่ง แต่ต้องก้าวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคม เพื่อรักษาความเป็นธรรมและความมั่นคง หากการแพทย์คือวิทยาศาสตร์ และกฎหมายคือสังคมศาสตร์ ทั้งสองศาสตร์จำเป็นต้องเดินไปด้วยกัน เพราะความก้าวหน้าของสังคมจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อวิทยาศาสตร์และสังคมศาสตร์ทำงานประสานกัน มนุษย์ต่างปรารถนาการมีสุขภาวะที่สมบูรณ์ (Wellness) ควบคู่กับความสุนทรียะ (Aesthetic) ซึ่งเป็นคุณค่าพื้นฐานของชีวิต เปรียบเสมือนอาหารจานหนึ่งที่นอกจากจะต้องมีคุณค่าทางโภชนาการแล้ว ยังต้องจัดแต่งให้น่ารับประทาน เพื่อเติมเต็มทั้งกายและใจ การบูรณาการระหว่างกฎหมายการแพทย์และเวชศาสตร์ความงาม จึงถือเป็นอีกก้าวสำคัญที่จะช่วยยกระดับและพัฒนาสังคมไทยให้ก้าวหน้าอย่างสมบูรณ์”ดร.นพ.ไพโรจน์ กล่าว
นางสาวศิริพร เฟื่องฟูวณิช ว่าที่ประธานเครือข่ายวิชาชีพด้านกฎหมายการแพทย์และเวชศาสตร์ความงามแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า เครือข่ายดังกล่าวเกิดจากความร่วมมือระหว่างชมรมนักศึกษาบัณฑิตศึกษาและศิษย์เก่ากฎหมายการแพทย์ฯ และชมรมนักศึกษาบัณฑิตศึกษาและศิษย์เก่าเวชศาสตร์ความงามฯ โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับระบบสุขภาพของประเทศ กฎหมายการแพทย์มีบทบาทสำคัญในการคุ้มครองสิทธิผู้ป่วย กำหนดกรอบความรับผิดชอบของผู้ประกอบวิชาชีพ และสร้างความโปร่งใส ขณะที่เวชศาสตร์ความงามช่วยเสริมคุณภาพชีวิตและความมั่นใจของประชาชน การรวมตัวครั้งนี้จึงเป็นรากฐานในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ สนับสนุนงานวิจัย และพัฒนาศักยภาพบุคลากร เพื่อประโยชน์ของสังคมอย่างยั่งยืน ภายใต้หลักสิทธิมนุษยชนที่ให้ทุกคนมีสิทธิในการกำหนดอัตลักษณ์ความงามของตนเอง อันเป็นหัวใจของระบอบประชาธิปไตย
สำหรับแผนดำเนินงานปีนี้ เครือข่ายจะจัดสัมมนาออนไลน์ 12 ครั้ง เพื่อเสริมสร้างความรู้ด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเวชศาสตร์ความงาม ลดความเสี่ยงในการประกอบวิชาชีพ พร้อมทั้งเตรียมจัดประชุมวิชาการระดับชาติในเดือนธันวาคม และประชุมวิชาการกฎหมายการแพทย์ระดับนานาชาติในต้นปี 2569 เพื่อขยายความร่วมมือสู่สากล ก้าวสู่การพัฒนามาตรฐานวิชาชีพควบคู่กับการคุ้มครองสิทธิประชาชน สะท้อนเจตจำนงร่วมของกฎหมายและการแพทย์ที่จะปรับตัวไปพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของโลก เพื่อสร้างความมั่นคงและความยั่งยืนให้แก่สังคมไทย