ปากเสียงของคนท้องถิ่น เพื่อการพัฒนาประเทศ
อปท.นิวส์เชิญเป็นแขก ย้อนกลับ
ปรีชา ประเสริฐถาวร CEO ไอ-มอเตอร์ แมนูแฟคเจอริ่ง
19 ก.ย. 2568

จากดีกรี วิศวเครื่องกล พระจอมเกล้าธนบุรี สู่เจ้าของ มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า “สัญชาติไทย”

       หากจะกล่าวถึงคำว่า "Made in Thailand" แล้ว ต้องถือว่าเป็นคำกล่าวที่จะไม่มีวันตกยุคตกสมัย เนื่องเพราะ เป็นได้ทั้งความภูมิใจของคนทั้งชาติ และตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศที่มีความ หมายยิ่ง อย่างไรก็ตาม ในยุคที่อุตสาหกรรมยาน ยนต์โลกเริ่มก้าวเข้าสู่พลังงานสะอาด ยานพาหนะ ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์หรือแม้แต่มอเตอร์ไซค์ ก็เริ่มทยอยก้าวเดินเข้าสู่ยานพาหนะพลังไฟฟ้า มากขึ้น อย่างที่เราเห็นตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV) มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า จักรยานยนต์ไฟฟ้า หลากหลาย แบรนด์ถาโถมเข้าใส่ตลาดในประเทศไทยอย่าง นับไม่หวาดไม่ไหว แต่จะหาแบรนด์ที่เป็นของ คนไทยจริงๆ นั้น หาได้อยากยิ่งนัก แต่ใช่ว่าจะไม่มี เสียเลย ...

 

       วันนี้ อปท.นิวส์จึงจะพาท่านผู้อ่านมารู้จักกับ บุคคลผู้หนึ่งที่เป็นทั้งนักวิศวกร นักการอุตสาหกรรม และนักธุรกิจ ที่เพียงมีได้มองอยู่แค่ผลกำไรจากการ ประกอบการแต่เพียงอย่างเดียว แต่เขายังมองถึง หน้าตาของประเทศต่อการสร้างผลิตภัณฑ์ที่ต้อง เป็นแบรนด์ของคนไทยออกแข่งขันในตลาดโลก ต่อไปในอนาคตด้วย

         จากลูกผู้ประกอบการธุรกิจอะไหล่ชิ้นส่วน รถยนต์และมอเตอร์ไซค์ย่าน "วรจักร" สู่รั้วเทคโนโลยี พระจอมเกล้าธนบุรีในระดับวิศวเครื่องกล ก้าวสู่ อาณาจักรผู้ผลิตชิ้นส่วนรถมอเตอร์ไซค์ (OEM) ให้ กับแบรนด์ดัง มาวันนี้เขาคือ ผู้บุกเบิกและเจ้าของ "มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า สัญชาติไทยแท้" รายเดียวของ ประเทศ "คุณปรีชา ประเสริฐถาวร" ประธาน เจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัท ไอ-มอเตอร์ แมนู แฟคเจอริ่ง จำกัด (HMoter Manufacturing Co.,Ltd.)

       คุณปรีชา ในวัย 60 ปี ที่ดูยังหนุ่มแน่น บอกกับ อปท.นิวส์ว่า เขาเป็นคนกรุงเทพฯ แถวบ้านบาตร วรจักร เป็นลูกชายคนโตจากพี่น้องชายหญิงทั้งหมด 4 คน(ชาย 2 หญิง 2) ของผู้ประกอบธุรกิจผลิตอะไหล่ รถยนต์ มอเตอร์ไซค์ และชิ้นส่วนที่ใช้ในกองทัพ ประเภทรถหุ้มเกราะ ในย่านวรจักรนั่นเอง ซึ่งหาก จะถามว่ามีเชื้อสายจีนหรือไม่ ก็ต้องบอกว่า ใช่ คุณปู่ คุณย่ามาจากประเทศจีน แต่คุณพ่อคุณแม่เกิด ในประเทศไทย ก็สร้างเนื้อสร้างตัวมาเมื่อ 60 กว่าปีก่อน แต่ก็ไม่ถึงกับเรียกเป็นโรงงาน แต่จะเป็นพวก Shop หรือประเภทโรงกลึงมากกว่า เริ่มเรียนชั้นประถม ศึกษาที่โรงเรียนภารตวิทยาลัย ก็เรียนถึงประถมฯ 4 พอกิจการเริ่มโตขึ้น คุณพ่อก็ย้ายกิจการจากวรจักร มาอยู่แถวสุขุมวิทฯ ก็ต้องย้ายมาเรียนต่อที่โรงเรียน โรจน์เสรีอนุสรณ์แถวกล้วยน้ำไทพอมา ม.ศ.4-5 ก็มาเข้า เรียนที่โรงเรียนศรีวิกรณ์

         "Entrance ก็มาติดที่มหาวิทยาลัย พระจอมเกล้าธนบุรี ตอนนั้นเรียกว่า สถาบัน เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ก็จบวิศวะเครื่องกล ที่นี่ เรียนอยู่ 5 ปี ช่วงปีที่ 5 จะมีหลักสูตรวิชาชีพ สำหรับวิศวะโดยเฉพาะ ก็มีเวลาว่างเยอะ พอดีช่วง นั้น คุณฟอผมเริ่มย้ายโรงงานจากสุขุมวิทฯ มาอยู่ บางนา-ตราดในปัจจุบัน ซึ่งก็เป็นการย้ายครั้งที่ 3 ก็อยู่ที่นี่มาร่วม 40 ปีแล้ว คุณฟอผมชื่อ สมชัย ประเสริฐถาวร ขณะที่ร้านเดิมแรกเริ่มเลยชื่อ สมชายการช่าง แล้วก็มาเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด นิวสมไทย แล้วจากห้างหุ้นส่วนก็เปลี่ยนมาเป็น บริษัท นิวสมไทย มอเตอร์เวอร์ค จำกัด ประกอบ ธุรกิจบริษัทผลิตชิ้นส่วนอะไหล่ประเภท OEM ทั้ง รถยนต์ มอเตอร์ไซค์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า"

         คุณปรีชา เล่าต่อไปว่า ช่วงที่เรียนอยู่ปีที่ 5 นี้เอง ที่โรงงานได้เริ่มนำเครื่องจักรที่ควบคุมด้วยโปรแกรม คอมพิวเตอร์เข้ามาใช้ แต่ก็มีคนรู้เรื่องโปรแกรม CAD/ CAM น้อย ขณะที่ตัวคุณปรีชาเรียนมาทางด้านนี้ ก็ เลยเข้ามาช่วยโรงงาน แรกๆ ก็มาเขียนโปรแกรมให้ เครื่อง เครื่องจักรที่ใช้คอมพิวเตอร์ ที่ปัจจุบันเรียกว่า เครื่อง CNC ให้โรงงาน ก็ถือเป็นในยุคแรกๆ แต่ก็มี ช่วงไปฝึกงานที่โรงงานอื่นเหมือนกัน ซึ่งงานส่วนใหญ่ ที่ทำในช่วงนั้นก็จะเป็นการด้านการเขียนโปรแกรม คอมพิวเตอร์เป็นหลัก หลังจากนั้นก็มีเข้ามาทำหน้าที่ แทนหัวหน้างานในแผนกต่างๆ ที่เป็นมือช้ายมือขวา

ของคุณพ่อที่ลาออกหรือเกษียณสลับกันไป จนสัก เกือบ 15 ปีได้ จึงก้าวเข้ามาเป็นผู้บริหารของบริษัท นิวสมไทยฯ

         ต่อข้อถามว่า เมื่อได้ก้าวเข้ามานั่งบริหารแล้ว เริ่ม มองธุรกิจในความรับผิดชอบจะเติบโตไปอย่างไร คุณ ปรีชา บอกว่า นิวสมไทยฯ เป็นผู้ผลิต OEM มีลูกค้า ส่วนใหญ่เป็นบริษัทญี่ปุ่น บริษัทที่ Joint Venture กับญี่ปุ่น ลูกค้าพวกนี้ก็จะใช้วิธีประเมินการทำงาน ของเราด้วยปัจจัยที่ เรียกว่า OCD หรือ Quality, Cost, Delivery คือ เราส่งของให้เขาทันเวลามั้ย เราส่งของให้เขามีคุณภาพมั้ย เราส่งของให้เขาราคา สามารถแข่งขันได้มั้ย การบริหารของนิวสมไทยฯ ก็ ต้องถือหลักการแบบนี้เลย คือเราต้องผลิตงานให้ ราคาถูกที่สุด ดีที่สุด ถูกที่สุดในแง่ของการแข่งขันได้ กับรายอื่น ดีที่สุดก็คือ ส่งมาที่มีคุณภาพที่ดีที่สุด เร็ว ที่สุดก็ส่งงานแม้กระทั่งงานผลิตในจำนวนมากๆ ให้ ได้ตรงตามเวลามากที่สุด เจ้าใหญ่ๆ ที่เราส่งให้เวลา นี้ ถ้ารถยนต์ รถยนต์ก็มี Isuzu ช่วงนั้นน่ะ ช่วงที่ผม บริหารอยู่ก็มีชุด Isuzu Toyota Honda Mitsubishi Nissan suzuki เกือบทุกยี่ห้อ มอเตอร์ไซค์ก็ Honda Yamaha Suzuki Kawasaki

         คุณปรีชา พูดถึงตอนช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งตอนปี 40 ด้วยว่าบังเอิญเราไม่ได้มีเงินยืมจากต่างประเทศ ดังนั้น ตอนลดค่าเงินบาทบริษัทฯ จึงไม่มีผลกระทบ และก็ ไม่ได้ขยายอะไรที่เกินตัวมากนัก ซึ่งตอนนั้นคุณพ่อยัง มีชีวิตอยู่และก็เป็นผู้บริหารหลัก ก็ไม่ได้ลงทุนอะไร มาก ก็ไม่มีหนี้สิน และช่วงนั้นเราก็ค้าขายในประเทศ มากกว่าการส่งออก ซึ่งการส่งออกของเรามาเกิด หลังจากปี 40 ก็มีไปหลายประเทศ โดยเฉพาะได้หันมา จับ ชุดที่ปัดน้ำฝนในรถยนต์ ส่งไปทั้งจีน แอฟริกาใต้ บราชิล อินเดีย เป็นต้น เพราะลูกค้าเราใช้ประเทศไทย เป็นฐานในการส่งออก

         เมื่อถามว่า อุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ของบ้านเรา อย่างไรบ้าง คุณปรีชา บอกว่า อุตสาหกรรมรถยนต์ บ้านเราก็ผ่านนโยบายคันแรก นโยบายอีโคคาร์ ก็ดี เราเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วน เราก็ผลิตตาม ตามคำสั่งซื้อ ก็ ขายได้เยอะ ก็เติบโตขึ้นจนมาซื้อที่ขยายโรงงานต่อ อีก 5 ไร่ ซึ่งช่วงนั้นก็ถือได้ว่าโตทั้งในประเทศและ การส่งออกด้วย

         อย่างไรก็ตาม ช่วงผ่านมา 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ เรื่อง นโยบายที่เกี่ยวกับรถไฟฟ้า หรือรถ EV เราก็มีความ คิดว่า เอาเริ่มต้นตั้งแต่ได้ยิน Tesla ของอเมริกา มาก่อนนะ เริ่มบูม คนเริ่มหันมาใช้เริ่มจากฝั่งอเมริกา ฝั่งยุโรป เริ่มมาใช้รถ tesla มากขึ้น ช่วงนั้นการ เจริญเติบโตของรถไฟฟ้าเร็วมาก เราก็ได้ยินข่าว ว่า ประเทศไทยเราเองก็จะมีแนวโน้ม เนื่องจากว่า ประเทศไทยเองเริ่มมีปัญหาเรื่องฝุ่น PM2.5 เริ่มมีผลเรื่องพลังงานน้ำมันเริ่มขาดแคลนเริ่มมีราคาสูง แล้วก็ เราต้องการ Green Energy เป็น Green Society เป็นสังคมอะไรเกี่ยวกับทางด้านสิ่งแวดล้อม

         "ประเทศไทยก็มีนโยบาย 30@30 คือในปี 2030 เราก็ต้องมีรถไฟฟ้าวิ่งอยู่ในอยู่ในประเทศไทย ประมาณ 30% เราก็คิดว่า ถ้ารถยนต์เริ่มมีการบูม ขึ้นมาแล้วนี่ มอเตอร์ไซค์ก็คงจะต้องตามมา เราก็มี ความคิดว่า เราก็คงต้องหาทางที่จะต้องเข้ามา อยู่ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจรถไฟฟ้าบ้าง แต่ หลังจากนั้นจีนก็มา แล้วจีนเริ่มนำรถไฟฟ้าเข้ามา ขายในประเทศไทยหลายๆ ยี่ห้อ เราก็มีความคิดว่า ถ้า รถยนต์ที่ผลิตในประเทศไทยเริ่มผลิตเป็นรถไฟฟ้า หรือว่ามอเตอร์ไซค์เริ่มผลิตเป็นไฟฟ้าชิ้นส่วนที่เรา ผลิตส่งให้ OEM ณ ปัจจุบัน บางชิ้นส่วนก็จะ ไม่ได้ใช้ นั่นก็หมายถึงว่า โดยรวมแล้วธุรกิจเราอาจจะประสบปัญหาว่า ยอดในการสั่งซื้อยอดในการ ผลิตจะลดลง"

         ดังนั้น ก็ต้องหา S Curve ตัวใหม่ที่จะมาช่วย support ธุรกิจของเรา แล้วเราก็มองๆ ดูในหลายๆ ด้าน จากที่เราเคยมีความเชี่ยวชาญในการทำ ชิ้นส่วนรถมอเตอร์ไซค์ ซึ่งตอนแรกเราตั้งใจจะไปทำ รถจักรยานไฟฟ้า เราก็พยายามหาเทคโนโลยีใหม่ๆ เราก็เริ่มจากทำจากรถจักรยานไฟฟ้าก่อน ก็ทดสอบ แล้วก็ผลิตออกมาจำนวนหนึ่งแต่ก็มารู้สึกว่ามันแข่งขัน ไม่ได้ในเรื่องของราคา เพราะว่าราคารถจักรยาน ค่อนข้างถูก คือนอกจากเรื่อง Cost มันไม่ได้แล้ว ก็ยังมี เรื่องที่ต้องแข่งขันรถจักรยานไฟฟ้าที่มาจากจีนหรือ จากไต้หวัน เราสู้ไม่ได้ รวมทั้งเรื่อง performance ดีไซน์อะไรออกมาดี แต่ว่ามันไม่ตอบโจทย์ผู้บริโภค เราก็ล้มเลิกโปรเจกต์จักรยานไฟฟ้าไป ซึ่งตอนนั้นเรา กำลังจะร่วมทุนกับบริษัทเกาหลีด้วยซ้ำไป

 

         “จากนั้นเราก็มามองหาตัวใหม่ ก็มาจับมอเตอร์ไซค์ และก็มีเพื่อนไงอย่างคุณอลัน ลิม (Dr. Alan Lim) ประธานหอการค้าสิงคโปร์-ไทย ก็มาชวนให้ทำมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า ซึ่งเราเองก็มีไอเดียที่จะทำมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าอยู่บ้างแล้ว เพียงแต่ว่าช่วงนั้นเราหายังหา know-how ไม่เจอ ยังหาคนออกแบบทมอเตอร์ไซค์ให้มันเป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นเอกลักษณ์ที่ไม่ใช่เอาชิ้นส่วนจากเมืองจีนเข้ามาประกอบแล้วขายหน้าตาเดียวกับเมืองจีน คือเราไปหลายๆ ประเทศในอาเซียน ในในยุโรป หรือว่าในเอเชียนี่ จะเห็นว่าพวกเขามักจะมีรถยนต์ รถยนต์รถมอเตอร์ไซค์แห่งชาติเขา แต่เราไม่มีไง เราประเทศไทยไปมองว่า ตัวเราเองเป็นประเทศผลิจชิ้นส่วนมากกว่าที่จะก้าวขึ้นมาเป็นแมนูแฟคเจอริ่ง (Manufacturing)”

         "จุดเปลี่ยนที่ผมรู้สึกไม่ค่อยดีคือ เวียดนาม นี่แหละ คือเวียดนามเกิดหลังประเทศไทย เมื่อก่อน ส่งชิ้นส่วนให้เวียดนามประกอบอยู่เลยนะ ส่งไป จากประเทศไทยเรานี่แหละ แต่หลังๆ นี่ ทำไม เวียดนามมีบริษัทที่ทำเกี่ยวกับรถไฟฟ้า ทั้งรถไฟฟ้า ทั้งรถน้ำมัน แล้วคนในชาติเขาก็นิยม แต่เราทำไม แปลกมาก ทำไมเราโดนเขาแซงได้ง่ายๆ แบบนี้ ตอนนั้นก็เลยทำให้ผมหันมาคิดว่า เราต้องหันมาทำ จริงๆ จังๆ ได้แล้ว พอดีกับผมเองก็เกษียณจาก บริษัทแม่ นิวสมไทยฯ แต่พูดจริงๆ แล้ว ผมเอง ต้องการออกมาบุกเบิกการทำรถไฟฟ้ามากกว่า ที่เป็นผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดไปถึงผู้บริโภค จากเดิม ที่นิวสมไทยเป็นผู้ผลิต OEM เท่านั้น คือผมอยาก จะมาสร้างแบรนด์มากกว่า"

         คุณปรีชา บอกต่อว่า ช่วงนั้น ไอ-มอเตอร์ ก็เริ่มเกิดขึ้นแล้ว มีหลายๆ คนมาร่วมกันทำ ไอ-มอเตอร์ โดยตัวเขาได้กลายเป็นตัวหลัก เป็นหุ้นส่วนใหญ่ เป็นตัวหลักที่หุ้นส่วนให้ความไว้ใจให้เป็นผู้บริหาร โดยไอ-มอเตอร์ที่เข้ามาผลิตมอเตอร์ไฟฟ้าเริ่มขึ้นในช่วงเกิดโควิดระบาดพอดี หรือประมาณ 3 ปีที่แล้ว ช่วงกลางๆ โควิด ช่วงนั้นเเราอยากจะผลิตรถเร็วๆ แต่มันก็ทำไม่ได้ ก็ติดเรื่องโควิด ประชุมก็ลำบาก ไม่สามารถที่จะมาประชุมกันได้ เจอกันได้ ซึ่งสมัยก่อนออนไลน์ไม่ได้ง่ายเหมือนสมัยนี้ เราก็เสียเวลาไปเยอะ

         “มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าตัวแรกที่เราตั้งใจทำคือรุ่น Vepor ใช้เวลาก็เกือบ 3 ปี ในการทำขึ้นมา ซึ่งช่วงนั้นต้องยอมรับเราก็ไม่มีประสบการณ์ด้วย จากการทำชิ้นส่วนแล้วพลิกมาทำแบรนด์ เจอหลายๆ เรื่องที่เราไม่เคยทำมาก่อน เราก็ต้องมาเรียนรู้ก็เสียเวลาในการเรียนรู้หลายๆอย่าง”             

         ส่วนการสร้างให้เป็นแบรนด์ของชาติเป็นอย่างไร คุณปรีชา กล่าวว่า เราก็ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลและหน่วยงานของรัฐบาลในหลายๆ เรื่อง เช่น การได้รับการส่งเสริมจากสำนักงานส่งการลงทุน (BOI) ก็ได้รับอนุมัติให้เป็นโครงการนำร่องรถไฟฟ้า ได้รับการสนับสนุนจากสถาบันนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) และในโครงการหลายโครงการก็เข้ามาสนับสนุน

         ต่อข้อถามว่า หากเปรียบเทียบแบนรด์มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าของไอ-มอเตอร์กับแบรนด์ของต่างชาติเป็นอย่างไรบ้าง คุณปรีชา บอกว่า เราต้องมามาในแนวที่เรียกว่า Made in Thailand เราต้องใช้คำว่า Made in Thailand นำ และเราก็เป็น Made in Thailand จริงๆ โดย Vepor เป็นรถคันแรก ที่เราใช้ชิ้นส่วนในประเทศมากกว่า 75% ถามว่าทำไมไม่ใช้ชิ้นส่วนในประเทศทั้งหมด ตอบได้ว่า ชิ้นส่วนที่เหลือก็คือเป็นชิ้นส่วนที่ประเทศไทยไม่มีการผลิต หาซื้อในประเทศไทยไม่ได้ เช่น มอเตอร์, ECU ฯลฯ ขณะที่แบตเตอรี่ยังหาทำในประเทศไทยเมืองไทยได้

         อย่างไรก็ตาม แบรนด์ของเราไม่ได้เป็นแบรนด์ที่ขายอันดับ 1 ของประเทศไทย คือกลุ่มของเรา segment เป็น segment ของรถที่ราคา 50,000 บาท ขึ้น ไม่ใช่ราคา 50,000 บาทลงมา ส่วนจุดเด่นบรนด์ของเรา คือจริงๆ ต้องบอกว่า ในอาเซียน เราใช้รถมอเตอร์ไซค์มามากกว่า 60 ปีจนถึงปัจจุบันนี้ แล้วส่วนใหญ่มอเตอร์ไซค์ที่ใช้อยู่ก็เป็นมอเตอร์ไซค์น้ำมันแบรนด์ญี่ปุ่น ที่นี้การเข้ามาของแรนด์รถไฟฟ้า  ไอ-มอเตอร์ มีความตั้งใจที่จะนำเสนอรถของเราให้ตลาดอาเซียนไม่ใช่เฉพาะในประเทศไทย

 

         “เราต้องการทำมอเตอร์ไซค์ฟ้าให้มีสมรรถนะเทียบเท่าได้กับมอเตอร์ไซค์ที่ใช้น้ำมัน คือความตั้งใจของผมเลย คือรถน้ำมันทำได้อย่างไร รถของไอ-มอเตอร์ก็ต้องทำได้อย่างนั้น อัตราเร่ง พลังงาน ความน่านั่งในการขับขี่ อะไรทุกอย่างที่รถน้ำมันเป็นเราต้องทำให้ได้ดีกว่าเขา นี่คือจุดแรกเลย แต่ต่างกันที่ว่า เขาเติมน้ำมัน แต่เราก็ชาร์จไฟ นอกนั้นคือ สมรรถนะการขับขี่ การเข้าโค้ง stability ท่านั่งสะดวดสบายในการขับขี่ มอเตอร์ไซค์น้ำทำได้ยังไง เราก็ต้องทำได้ แล้วเราต้องทำได้ดีกว่า ความแข็งแรง ความทนทานของรถ มอเตอร์ไซค์น้ำมันเป็นอย่างไร เขาตากแดดตากฝนแล้วสีไม่ซีดยังไง เขาตากแดดตากฝนแล้วเฟรมหรืออุปกรณ์ไม่เป็นสนิม เราก็ต้องทำให้ได้แบบนั้น อย่างต่ำ ไม่ได้เรียกว่า Maximum อย่างต่ำต้องเป็นแบบนั้น นั่นคือปรัชญาของไอ-มอเตอร์”

         คุณปรีชา ยังบอกด้วยว่า เราต้องพัฒนาโดยพื้นฐานที่ให้คนที่ใช้มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าน้ำมันแล้วสามารถเปลี่ยนเป็นมอเตอร์ของเราได้โดยที่เขาไม่มีความรู้สึกว่า ต้องขับช้าลง เมื่อยมือมากขึ้น หรืออะไรก็แล้วแต่ คำถามพวกนี้ต้องไม่เกิดขึ้นกับไอ-มอเตอร์ 

         จากวันนั้นถึงวันนี้ เติบโตไปแล้วยังไงบ้าง คุณ ปรีชา ตอบว่าต้องบอกว่า เราไม่ได้ขายอันดับ 1 ของ ประเทศไทย แต่เรากำลังจะเป็น โดยขณะนี้เรามีรถอยู่ 2 โมเดล จากวันนี้มี Vepor ส่วนปีก่อนเราก็ออกตัว Thunder มารองรับพวก delivery ซึ่งส่วนใหญ่ ก็ประทับใจหมด แข็งแกร่ง แล้วก็สามารถบรรทุกได้ รวมทั้งคนแล้วก็ 200 กิโลกรัม อย่างไรก็ตาม เราจำเป็นต้องมีการเจริญเติบโต เราจะมีรถให้ครบทุกระดับ คือเรามีกลุ่มกลางอยู่แล้ว เราก็ต้องมีกลุ่มล่างด้วย คือให้มีราคาถูกที่สุดเท่ากับ มอเตอร์ไซค์น้ำมัน ก็คือประมาณ 40,000 บาท

         พอบอกยอดขายในปัจจุบันนี้ได้ไหม คุณปรีชา เปิดเผยว่าปีนี้ยังไม่สรุปตัวเลขไม่ได้เลย แต่เราตั้งใจ ว่าปีนี้เราจะประกอบรถให้ได้อยู่ประมาณ 3,000 คัน หรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ ส่วนการรุกตลาดอาเซียน ตอนนี้ส่งไปได้ 3 ประเทศ หลักๆ ก็มีส่งไปที่ฟิลิปปินส์ ลาว และก็ที่เวียดนามด้วย นอกอาเชียนก็มีส่งไปที่ โคล้มโบ ศรีลังกา

         สำหรับตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทย คุณปรีชา บอกว่า แรกๆ เมื่อต้นปีมีทั้ง Active และไม่ Active อยู่ประมาณสัก 25 แต่ตอนนี้เพิ่มเป็นประมาณสักเกือบๆ 70 แล้ว ซึ่งเราจะทำให้ได้ครบ 76 จังหวัด โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ก็จะให้มีครบทุกเขต ซึ่งกำลัง เร่งขยายอยู่

         ส่วนระดับราคาของมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า คุณปรีชา บอกว่ามีหลายระดับราคา อย่าง 100,000 บาทขึ้นไป นี่ เป็นรถที่มีคุณภาพที่ดีเลิศแต่ชายยาก แล้วหากเรา มาตัดมาที่คันละ 5 หมื่น อย่างต่ำกว่า 5 หมื่นของ ไอ-มอเตอ์รก็มี Thunder ขาย 47,000 บาท ตัวนี้ก็ เน้นคนใช้ชอบเดลิเวอรี่ ชอบซิ่ง ส่วนอีกตัวหนึ่งของ ไอ-มอเตอร์ Vepor ทรงคลาสิค จากเดิมที่ขายอยู่

 

         85,000 บาท แต่เนื่องจากราคาแบตเตอรี่ราคา ลดลงมาเยอะ เราก็ลดราคาลงมาเหลือ 69,000 บาท และกำลังจะทำตัวที่ต่ำกว่า 5 หมื่น ก็กำลังเร่งเร่ง อยู่ ตั้งใจที่ออกมาเพื่อที่จะอย่างน้อยคือ Impact market ให้มากที่สุด                         

 

         "แล้วปีนี้เป็นปีที่น่าภูมิใจอีกอย่างหนึ่ง คือ รถ ของเราได้นำไปออกในงาน โตเกียวมอเตอร์โชว์ ด้วย ที่จะจัดขึ้นในช่วงสิ้นเดือนตุลาคมนี้ ที่ Tokyo Big sight ก็จะเป็นรถแบรนด์ไทยแบรนด์แรกที่ไป เหยียบงานโตเกียวมอเตอร์โชว์ คือผมต้องการให้ คนทั่วๆ ไปได้รู้จักว่า ประเทศไทยเราสามารถ ที่จะพัฒนารถมอเตอร์ไซค์ให้ก้าวขึ้นไปอยู่ในระดับ ของโลกได้"

         สำหรับปรัชญาในการทำงาน คุณปรีชา กล่าวว่า “การบริหารคนอย่างง่ายๆ เลยคือ เราให้เขามากกว่าที่เขาคาดหวังไว้ คาดหวังว่าอยากได้อะไรจากบริษัท อยากได้เงินเยอะ ผมก็จะให้มากกว่าที่คุณคิด แต่การทำงานผมก็ต้องดูด้วยนะ คุณก็ต้องให้ผมในสิ่งที่ผมพอใจ อย่างนี้ก็จะสร้างความประทับใจให้พนักงานก็จะอยู่กับเราได้นาน”

หนังสือพิมพ์ OPT NEWS ONLINE
วันที่ 16 - 30 กันยายน 2568
อปท.นิวส์เชิญเป็นแขก ดูทั้งหมด
19 ก.ย. 2568
จากดีกรี วิศวเครื่องกล พระจอมเกล้าธนบุรีสู่เจ้าของ มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า “สัญชาติไทย” หากจะกล่าวถึงคำว่า "Made in Thailand" แล้ว ต้องถือว่าเป็นคำกล่าวที่จะไม่มีวันตกยุคตกสมัย เนื่องเพราะ เป็นได้ทั้งความภูมิใจของคนทั้งชาติ และตัวขับเคลื่อนเ...