สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ร่วมกับภาคีเครือข่าย จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นระดับประเทศ ประเด็น “ระบบสุขภาพเชิงรุกท่ามกลางความผันผวนทางภูมิรัฐศาสตร์ (Proactive Thai Health Systems amidst Geopolitical Turbulence)” เมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2568 โดยมีผู้แทนหน่วยงานภาคียุทธศาสตร์ภาควิชาการ ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม รวมถึงผู้แทนสมัชชาสุขภาพจังหวัด และกรรมการเขตสุขภาพเพื่อประชาชน (กขป.) ทั่วประเทศเข้าร่วมทั้งทาง on-site และผ่านระบบ online กว่า 400 คน
สำหรับประเด็นระบบสุขภาพเชิงรุกท่ามกลางความผันผวนทางภูมิรัฐศาสตร์ (Proactive Thai Health Systems amidst Geopolitical Turbulence) เป็นหนึ่งในข้อเสนอเชิงนโยบายที่อยู่ระหว่างการพัฒนา เพื่อบรรจุเป็นระเบียบวาระในงานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 18 โดยมีกรอบทิศทางนโยบายสำคัญในการที่จะเปลี่ยนผ่านการดำเนินนโยบายแบบตั้งรับไปสู่การเป็นผู้มีบทบาทเชิงรุก เพื่อยกระดับความเข้มแข็งของระบบสุขภาพให้เป็นทั้งภูมิคุ้มกันปกป้องสังคม และเป็นกลไกขับเคลื่อนสร้างความมั่นคงของชาติอย่างสร้างสรรค์ ผ่านการขับเคลื่อนแม่บทการพัฒนาระบบสุขภาพเชิงรุก
นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (ผู้อำนวยการ สวรส.) ในฐานะประธานคณะทำงานพัฒนาประเด็นระบบสุขภาพเชิงรุกท่ามกลางความผันผวนทางภูมิรัฐศาสตร์ เปิดเผยว่า การสนับสนุนเพื่อดูแลสวัสดิการด้านสุขภาพให้กลุ่มเปราะบางจากแหล่งทุนภายนอกประเทศในปัจจุบันมีความไม่แน่นอน เช่นกรณีที่รัฐบาลสหรัฐตัดสินใจระงับการดำเนินการของสำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ (USAID) ซึ่งกระทบต่อกลุ่มประชากรอพยพบริเวณชายแดนไทย-เมียนมา และการแบกรับภาระของหน่วยบริการและบุคลากรสุขภาพของไทย ฉะนั้นหนึ่งในสาระสำคัญที่ในกรอบทิศทางนโยบายของประเด็นนี้ คือการคลังสุขภาพที่ยั่งยืนและพึ่งพาตนเองได้ ซึ่งจะเน้นการระดมทุนภายในประเทศเป็นหลัก เพื่อให้มีงบประมาณที่เพียงพอและมีความยืดหยุ่น เช่น อาจจะมีการตั้ง “กองทุนความมั่นคงทางสุขภาพ” ที่บูรณาการทรัพยากรจากหลายภาคส่วน ทั้งงบประมาณภาครัฐ ภาษีเชิงยุทธศาสตร์ และการมีส่วนร่วมจากภาคเอกชนและประชาสังคม
นพ.ศุภกิจ กล่าวต่อไปด้วยว่า ส่วนตัวเห็นว่าหากรัฐลงทุนกับเรื่องนี้คงใช้งบประมาณไม่มากนัก เพราะประชากรที่อาศัยอยู่ในศูนย์อพยพทั้ง 9 ศูนย์ มีจำนวนราว 1 แสนคน ซึ่งอยู่ในวิสัยที่โรงพยาบาลอำเภอในพื้นที่สามารถดูแลได้ เพียงแต่ต้องมีทรัพยากรเข้าไปส่งเสริมไม่ให้โรงพยาบาลขาดทุน หากประเทศไทยสามารถขับเคลื่อนเรื่องนี้ได้สำเร็จ ก็จะกลายเป็นภาพพจน์ที่ดีที่จะบอกแก่ผู้คนทั่วโลกว่าประเทศไทยเป็นที่พึ่งพิงให้ผู้คนที่ตกทุกข์ได้ยากโดยโรงพยาบาลในประเทศไม่เดือดร้อน
นพ.ธวัชชัย ยิ่งทวีศักดิ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลท่าสองยาง อ.ท่าสองยาง จ.ตาก กล่าวว่า สนับสนุนการจัดตั้งกองทุนเพื่อเข้ามาช่วยเหลือสภาวะวิกฤติระบบสาธารณสุขชายแดน เพราะไม่เพียงแค่สวัสดิภาพชีวิตที่ดีของประชากรซึ่งอาศัยอยู่ในศูนย์อพยพเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนช่วยสำคัญในการเฝ้าระวังและป้องกันปัญหาโรคระบาดที่จะเข้ามายังประเทศไทย ผ่านการให้ความช่วยเหลือเรื่องวัคซีน ซึ่งที่ผ่านมามักจะต้องใช้งบเงินบำรุงของทางโรงพยาบาลซึ่งมีอยู่อย่างจำกัดและไม่ค่อยเพียงพออยู่แล้ว เพราะการใช้งบตามระบบปกติอาจจะเกิดข้อจำกัดเรื่องความล่าช้า ไม่ทันต่อสถานการณ์ป้องกันควบคุมโรค
นพ.ธวัชชัย กล่าวต่อไปว่า อีกหนึ่งแนวคิดที่สำคัญซึ่งถูกกำหนดไปในวาระกรอบทิศทางนโยบายดังกล่าว คือการนำร่องปลดล็อคให้บุคลากรข้ามชาติสามารถเข้ามาทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยทูตฝ่ายสาธารณสุขในการดูแลสุขภาพให้กับประชาชนประเทศตนเองได้ รวมไปถึงการสนับสนุนโครงการทุนการศึกษาอย่างเป็นระบบต่อไปในอนาคต สิ่งเหล่านี้ นอกจากจะช่วยแบ่งเบาภาระบุคลากรทางการแพทย์ของไทยแล้วยังเป็นส่วนสำคัญในการยกระดับการดูแลสุขภาพที่ดีมากขึ้นเพราะความเข้าใจทางด้านภาษา วัฒนธรรม ของผู้ป่วยและผู้ดูแล
ดร.สัมพันธ์ ศิลปนาฎ ประธานคณะกรรมการจัดสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ (คจ.สช.) ครั้งที่ 17 -18 กล่าวว่า ในฐานะประธาน คจ.สช. ส่วนตัวรู้สึกพึงพอใจกับวาระนี้เป็นพิเศษ โดยเฉพาะกับถ้อยคำที่ระบุว่า “ความผันผวนทางภูมิรัฐศาสตร์” เพราะสังคมไทยเริ่มมองเห็นภาพเหล่านี้ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่เหตุการณ์การแพร่ระบาด โควิด-19 เป็นต้นมา และมาจนถึงวันนี้ที่ความผันผวนดังกล่าวก็ยังดูมีทีท่าที่จะยกระดับความเข้มข้นมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสงครามที่ยังคงมีความคุกกรุ่นอยู่ในหลายๆ พื้นที่ รวมไปถึง
เศรษฐกิจที่มีความแปลกแยก สิ่งสำคัญที่อยากจะฝากไว้กับทุกคนก็คือการให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพของประชาชน และจะต้องเป็นการมองอย่างเชิงรุก เราจะไม่รอการรักษาหรือรอให้เกิดการเจ็บป่วยแล้วเราค่อยลุกขึ้นมาทำ แต่เราจะต้องใช้การคาดการณ์จากข้อมูลจากเทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์แล้วนำมาป้องกันสุขภาพให้กับประชาชนล่วงหน้า เพราะการมาแก้ไขปลายน้ำในเรื่องสุขภาพ ล้วนแต่ทำความเสียหายให้กับบุคคล ครอบครัว สังคม และประเทศ
นพ.สุเทพ เพชรมาก เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า ระบบสุขภาพเชิงรุกท่ามกลางความผันผวนทางภูมิรัฐศาสตร์ที่กำลังจะมีการเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นระดับประเทศ ถือเป็นกระบวนการที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาประเด็น และเรื่องนี้กำลังอยู่ในความสนใจของสังคม ไม่แพ้อีก 4 ประเด็นสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นประเด็นการสร้างโอกาสในเศรษฐกิจสูงวัย ประเด็นการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านพลังงานอย่างเป็นธรรมด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ ประเด็นระบบบริหารจัดการเพื่อสุขภาวะในวิกฤตซ้อนวิกฤต และประเด็นกลไกขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืนระดับพื้นที่ ซึ่งจะเข้าไปสู่การนำเสนอในงานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 18 ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 27-28 พ.ย. 2568 ณ อาคารอิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี จ.นนทบุรี