วันที่ 13 ตุลาคม 2568 วันนี้ ทีม “ม้าแก่” เดินหน้าภารกิจอนุรักษ์คัมภีร์ใบลานของ วัดบุญยืน พระอารามหลวง อำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน โดยได้สะสางและจัดการชั้นบนสุดของตู้คัมภีร์ ทำการเข้ามัด ห่อผ้า ติดทะเบียนเอกสาร เสร็จสิ้นแล้วกว่า 50%
งานที่เหลือถือว่าหนักหนา เพราะคัมภีร์ส่วนใหญ่เต็มไปด้วยเชื้อรา จำเป็นต้องทำความสะอาดเบื้องต้น อาจใช้วิธี อบไอร้อน (นึ่ง) เพื่อฆ่าเชื้อ และเช็ดด้วย แอลกอฮอล์ 70% เพื่อหยุดการลุกลามของเชื้อราและฟื้นคืนสภาพใบลาน
วันนี้ทีมสามารถ “กู้ชีพ” เอกสารสำคัญอีกหนึ่งเล่ม คือ
คัมภีร์ “พับสา” อายุ 217 ปี
เขียนด้วยหมึกดำ ตัวอักษรคมชัดไม่เลอะเลือน เนื้อหาเป็นเรื่อง “พุทธาภิเศก” โดยผู้จารคือ พระอภิลชยฺยภิกขุ (บุญยืน) ซึ่งได้ “สืบแต้มเอามาจากฮบับ เมิงช้างแสน (เชียงแสน)” ตามที่บันทึกไว้ในตอนท้ายคัมภีร์ว่า
“...ศักก 1171 ตัวปีเบิกสีเดิน 9 ทุติย้ชียงไหม่ พุทธาภิเศก ลูกนี้ อภิลชยฺยวงฺสภิกขุบุญวจงฺกรร (บุญยืน) มหาอารามมา ได้สืบแต้มเอาตามจบับเมิงช้างแสน เมื่อสฐิศยฺไนอานาเขตเมิงชยฺยนน์ทบุรีวันนั้นแล นับแต้มตามบ่ช่าง บ่งามเอาแลเจ้าเริย”
ความสำคัญของคัมภีร์
คัมภีร์ “พุทธาภิเศก” ฉบับนี้มีคุณค่าทางวิชาการอย่างลึกซึ้งในหลายมิติ
ด้านเคมีหมึกโบราณ – ควรศึกษาว่าน้ำหมึกที่ใช้มีส่วนผสมใดบ้าง จึงคงสภาพคมชัดไม่เลอะเลือนแม้เวลาผ่านมากว่าสองศตวรรษ
ด้านประวัติศาสตร์ – คัมภีร์นี้จารขึ้นใน พุทธศักราช 2349 (ศักราช 1171) ซึ่งตรงกับรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และเป็นช่วงที่ เจ้าฟ้าอัทธวรปัญโญ ปกครองเมืองน่าน ภายใต้อำนาจของสยาม
เป็นช่วงการฟื้นฟูบ้านเมืองหลังสงคราม
วัดและสถาบันสงฆ์เป็นศูนย์กลางการศึกษา
วัดบุญยืนมีบทบาทสำคัญทางศาสนาและการเรียนรู้ของเมืองเวียงสา ก่อนย้ายราชธานีเข้าสู่เมืองน่านปัจจุบัน
ด้านอักขรวิทยา – ตัวอักษรที่ใช้เป็นหลักฐานศึกษาพัฒนาการของอักษรล้านนาในช่วงต้นรัตนโกสินทร์ได้อย่างดี
ด้านพุทธศาสนพิธี – เนื้อหาเรื่อง “พุทธาภิเศก” เปิดโอกาสให้ศึกษาการใช้บทสวดในพิธีกรรม การเปรียบเทียบภาษาบาลี การสร้างพระพุทธรูป และคติความเชื่อของชนชั้นปกครองและราษฎรในสมัยนั้น
บทสรุป
เอกสารโบราณเพียงเล่มเดียวอาจกลายเป็นรากฐานของงานวิจัยได้หลากหลายสาขา ทั้งด้านประวัติศาสตร์ ศาสนา ภาษา และวิทยาศาสตร์การอนุรักษ์
และคำตอบของคำถามที่ว่า
“ทีมม้าแก่ อนุรักษ์ไปทำไม?”
อาจอยู่ในคัมภีร์เหล่านี้เอง — เพราะแต่ละใบลานคือ จิตวิญญาณของบ้านเมือง ที่รอให้คนรุ่นหลังได้ “อ่าน ฟื้น และสืบต่อ”
###########
กัลยา สองเมืองแก่น จ.น่าน