วันนี้ (8 สิงหาคม 2561) เวลา 11.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะ ตรวจเยี่ยมการขยายคลองชลประทานเชื่อมต่อกับคลองระบายน้ำ D9 ณ ประตูระบายน้ำปลายคลองส่งน้ำ D9 ตำบลปึกเตียน อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี จากแผนงานก่อสร้าง ปี 2560 - 2562 ของกรมชลประทาน
รองอธิบดีกรมชลประทานได้กล่าวรายงานว่า สำหรับโครงการดังกล่าว ได้น้อมนำแนวทางที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชดำริไว้ แล้วนำมาสู่การปฏิบัติ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทานได้ศึกษาจนมีผลดังนี้ 1. การตัดยอดน้ำให้ระบายออกสู่อ่าวไทยก่อนที่จะไหลผ่านเขื่อนเพชร โดยการขุดขยายคลองระบายน้ำ สาย D1 เชื่อมกับแม่น้ำเพชรบุรีเพื่อระบายน้ำลงสู่ทะเล โดยก่อสร้างเป็นคลองคอนกรีตกำแพงตั้ง ความยาว 20 กิโลเมตร สามารถตัดยอดน้ำออกสู่อ่าวไทยได้ 550 ลบ.ม./วินาที 2. ปรับปรุงคลองส่งน้ำสายใหญ่ฝั่งขวา 3 ของเขื่อนเพชรหรือ RMC3 และคลองส่งน้ำฝั่งขวา ระบายน้ำสาย 3 หรือ 1R-RMC3 โดยก่อสร้างเป็นคลองคอนกรีตกำแพงตั้ง ความยาว 8 กิโลเมตร เชื่อมต่อไปยังคลองระบายน้ำสาย D9 เป็นคลองดิน ความยาว 19 กิโลเมตร สามารถระบายน้ำออกสู่อ่าวไทยได้ 100 ลบ.ม./วินาที กรมชลประทานได้ขอรับงบกลาง เป็นเงิน 200 ล้านบาท และจะขอรับการสนับสนุนงบประมาณ (เพิ่มเติม) จากคณะรัฐมนตรีอีกเป็นเงินจำนวน 573 ล้านบาท เมื่อโครงการแล้วเสร็จจะสามารถตัดยอดน้ำก่อนผ่านเขื่อนเพชรได้ 650 ลบ.ม./วินาที เหลือปริมาณน้ำไหลผ่านแม่น้ำเพชรบุรี 150 ลบ.ม./วินาที ลดปัญหาอุทกภัยในลุ่มน้ำเพชรบุรีและยังเสริมสร้างศักยภาพการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมให้ประชาชนอยู่ได้อย่างมีความสุข มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ตามวิสัยทัศน์ของยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่รัฐบาลได้วางนโยบายไว้
จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการขยายคลองชลประทานเชื่อมต่อกับคลองระบายน้ำ D 9 ณ ประตูระบายน้ำปลายคลองส่งน้ำ D9 พร้อมกล่าวว่า หากขยายคลองดังกล่าวเสร็จก็จะรับน้ำได้และระบายน้ำได้มากขึ้น ในส่วนของพื้นที่ที่มีปัญหา 4 และ 6 กิโลเมตร จำเป็นจะต้องให้หน่วยงานท้องถิ่นลงพื้นที่ เพื่อรับทราบปัญหาและหาแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกัน ซึ่งรัฐบาลพร้อมเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบ
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวกับประชาชนที่มาให้การต้อนรับว่า ต้องเป็นคนไทยรุ่นใหม่ที่แก้ปัญหาประเทศชาติร่วมกันได้ โครงการดังกล่าวนั้นเดินตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนแม่บทที่รัฐบาลวางนโยบายไว้ เป็นการเชื่อมโยงหน่วยงานและภาคประชาชนร่วมกัน พร้อมกล่าวแสดงความกังวลและห่วงใยประชาชนในหลายพื้นที่ที่ประสบปัญหาน้ำท่วม และย้ำว่าไม่ต้องวิตกจนเกินไป คาดว่าน้ำจะไม่ท่วมหนัก เชื่อมั่นในการจัดการน้ำว่าสามารถทำได้ดี พร้อมขอให้ประชาชนเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์ล่วงหน้าจะได้ไม่เกิดความเสียหาย
นายกรัฐมนตรีกล่าวด้วยว่า การแก้ปัญหาต้องเกิดมาจากความสามัคคี เพราะหากไม่สามัคคีกันในชุมชนก็จะไม่สามารถแก้ปัญหานั้นได้ และฝากให้ช่วยกันปลูกประดับต้นไม้สองข้างทางบริเวณหน้าบ้านของตนเองและพื้นที่ริมน้ำ เพื่อให้มีความสวยงามร่มรื่น และฝากให้ลดการใช้ถุงพลาสติกอันจะเกิดเป็นปัญหาของขยะในชุมชนอีกด้วย