-ปีพุทธศักราช 2558 กำลังจะผ่านพ้นไป และปีใหม่พุทธศักราช 2559 กำลังจะเข้ามาแทนที่ ตลอดระยะเวลาหนึ่งปีผ่านมานั่น บางท่านอาจประสพโชคดีที่ทั้งในด้านหน้าที่การงานงาน สุภาพ ชีวิตของตนเองและครอบครอบครัว
-หลายท่านอาจประสบกับความยากลำบากทั้งในด้านหน้าที่การงาน สุขภาพ และการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน อาจกล่าวได้ว่า ยากลำบากแทบจะเอาตัวไม่รอดก็ว่าได้นั่นเป็นสัจธรรมของชีวิตครับ ยากที่จะหลักเลี่ยง จงมีสติตั้งมั่นและต่อสู้กับมันและแก้ปัญหาในสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยปัญญาครับ
-เราขอให้ปัญหาอุปสรรคเหล่านี้จงผ่านไปกับพร้อมปี่พุทธศักราช 2558ขอให้สิ่งดีงามทั้งหลายจงมาพร้อมกับปี พุทธศักราช 2559ที่กำลังจะเข้ามาในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้
-กาลเวลาที่ผ่านมาถือว่าเป็นบทเรียนขอให้ทบทวนข้อผิดพลาดของตน และแก้ไขเสีย และน้อมนำหลักธรรมในทางพระพุทธศาสนามาใช้ในชีวิตประจำวัน โดยยึดศีล 5 มาเป็นหลักในการดำเนินชีวิต
-คือ ไม่เบียดเบียนทำร้ายคนอื่นด้วยกาย วาจาด้วยทรัพย์ ไม่ล่วงละเมิดสามีภรรยาของคนอื่น เป็นคนที่มีสัจจะ ละเว้นสิ่งเสพติดทั้งปวง โดยหลักการดังกล่าวเป็นธรรมที่ทุกคนจะอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขภายใต้ร่มเงาแห่งพระพุทธศาสนา เป็นบุคคลที่ คิดดี พูดดี และทำดี
-เพื่อให้ชีวิตที่น้อยนิดของเราอยู่บนโลกใบนี้อย่างมีคุณค่า และเป็นประโยชน์แก่ตนเอง ครอบครัว สังคมให้มากที่สุด ไม่ตั้งอยู่ในความประมาท เพราะกาลเวลาที่ผ่านไปแต่ละวันนั้น มันได้กลืนกินสรรพสิ่งไปด้วย ดังพระพุทธพจน์ที่ว่า
“ กาลเวลาย่อมกลืนกินทุกสิ่งสรรพ์รวมทั้งตัวมันเองด้วย”
-เพราะฉะนั้นเวลาในโลกมนุษย์มีน้อยเกินกว่าที่คิด จงบริหารเวลาให้คุ้มค่าครับ
ในเวลาที่เหลือของแต่ละคน จงอย่าประมาทในการใช้ชีวิตในปี พุทธศักราช 2559 เราจึงขอเชิญชวนทุกท่านได้มาร่วมกันสวดมนต์ข้ามปีกันเพื่อตั้งสติก่อนก้าวเดินในวันต่อ ๆ ไป เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง ครอบครัว และประเทศชาติโดยส่วนรวม ให้สมกับที่เราเป็นชาวพุทธและอยู่อาศัยภายใต้ร่มเงาแห่งดินแดนพระพุทธศาสนาและเป็นการเจริญรอยตามเยี่ยงบรรพบุรุษของชาวไทยที่ท่านได้นำพาต่อพิธีกรรมเช่นนี้มาช้านาน
-ความเป็นมาของการสวดมนต์ข้ามปี
-พระวิจิตรธรรมาภรณ์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ ท่านได้บันทึกเรื่องการสวดมนต์ข้ามปีเอาไว้ว่า
“ การสวดมนต์ข้ามปีนั้นเป็นประเพณีของขาวไทยมาแต่เดิม โดยก่อนสิ้นปีพระสงฆ์จะไปเจริญพระพุทธมนต์บทนพเคราะห์ที่กรมประชาสัมพันธ์ จากนั้นก็จะรอเวลาเที่ยงคืนเพื่อเจริญพระพุทธมนต์บทชัยมงคลคาถา ออกอากาศไปทั่วประเทศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย
-ต่อมาเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ได้นำคณะสงฆ์วัดสระเกศ ประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์ข้ามปีขึ้น ณ พระอุโบสถวัดสระเกศ โดยอนุวัติตามโบราณพระราชประเพณีแห่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 3 เคยประกอบพิธีในช่วงเทศกาลสงกรานต์ อันเป็นประเพณีปีใหม่ของไทยที่มีมาแต่เดิม
-การสวดมนต์ข้ามปีจึงถือได้ว่าจัดขึ้นที่วัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร เป็นครั้งแรก และในปีพุทธศักราช 2549 กรุงเทพมหานคร โดยสำนักงานเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย ได้เห็นความสำคัญของการสวดมนต์ข้ามปี จึงได้ร่วมกับคณะสงฆ์วัดสระเกศ จัดสวดมนต์ข้ามปีขึ้นอย่างเป็นทางการ และ
-ต่อมาคณะสงฆ์มีความเห็นร่วมกันว่า การสวดมนต์ข้ามปีเป็นที่นิยมของประชาชนอย่างแพร่หลาย และเป็นค่านิยมที่งดงาม ควรแก่การส่งเสริม ที่ประชุมมหาเถรสมาคมเมื่อเดือนธันวาคม 2553 ณ ตำหนักสมเด็จฯ วัดสระเกศ จึงได้มีมติให้วัดทุกวัดจัดสวดมนต์ข้ามปี โดยมีสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเป็นศูนย์การอำนวยการ และให้วัดเจ้าคณะจังหวัดเป็นศูนย์กลางการสวดมนต์ของจังหวัดนั้น ๆ” นี่คือประวัติความเป็นมาของการสวดมนต์ข้ามปี
- ส่วนอานิสงส์ของการสวดมนต์ข้ามปีมีอย่างไรนั้น
-ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี ท่านได้เทศน์ถึงอานิสงส์ของการสวดมนต์ไว้ว่า
-“ยังมีคนส่วนใหญ่เข้าใจว่า การสวดมนต์มีประโยชน์น้อย และเสียเวลามากหรือฟังไม่รู้เรื่อง ความจริงแล้วการสวดมนต์มีประโยชน์อย่างมากมาย เพราะการสวดมนต์เป็นการกล่าวถึงคุณงามความดี ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าพระองค์ท่านมีคุณวิเศษอย่างไร พระธรรมคำสอนของพระองค์มีคุณอย่างไร และพระสงฆ์อรหันต์อริยะเจ้ามีคุณเช่นไร การสวดมนต์ด้วยความตั้งใจจนจิตเป็นสมาธิ แล้วใช้สติพิจารณาจนเกิดปัญญาและความรู้ความเข้าใจ
-ประโยชน์สูงสุดของการสวดมนต์นั่นคือ จะทำให้ท่านเป็นผล จนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ที่อาตมากล่าวเช่นนี้ มีหลักฐานปรากฏในพระธรรมคำสอนที่กล่าวไว้ว่า โอกาสที่จะบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์มี 5 โอกาสด้วยกันคือ เมื่อฟังธรรมเมื่อแสดงธรรม เมื่อสาธยายธรรม นั่นคือ การสวดมนต์ เมื่อตรึกตรองธรรม หรือเพ่งธรรมอยู่ในขณะนั้นเมื่อเจริญวิปัสสนาญาณการสวดมนต์ในตอนเช้าและในตอนเย็นเป็นประเพณีที่ปฏิบัติกันมา ตั้งแต่สมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าทรงประกาศพระพุทธศาสนาบรรดาพุทธบริษัททั้งหลาย ต่างพากันมาเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ โดยแบ่งเวลาเข้าเฝ้าเป็น 2 เวลา นั่นคือ ตอนเช้าเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า เพื่อฟังธรรม ตอนเย็นเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อฟังธรรม การฟังธรรมเป็นการชำระล้างจิตใจ ที่เศร้าหมองให้เพื่อสำเร็จสู่มรรคผลพระนิพพาน การสวดมนต์นับเป็นการดีพร้อมซึ่งประกอบไปด้วยองค์ทั้ง 3 นั่น คือ
• กาย มีอาการสงบเรียบร้อยและสำรวม
• ใจ มีความเคารพนบนอบต่อคุณพระรัตนตรัย
• วาจา เป็นการกล่าวถ้อยคำสรรเสริญถึงพระคุณอันประเสริฐ
ในพระคุณทั้ง 3 พร้อมเป็นการขอขมา ในการผิดพลาดหากมีและกล่าวสักการะเทิดทูนสิ่งสูงยิ่ง ซึ่งเราเรียกได้ว่าเป็นการสร้างกุศล ซึ่งเป็นมงคลอันสูงสุดที่เดียวอาตมาภาพ ขอรับรองแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าหากบุคคลใดได้สวดมนต์เช้าและเย็นไม่ขาดแล้ว บุคคลนั้นย่อมเข้าสู่แดนพระอรหันต์อย่างแน่นอน
-การสวดมนต์นี้ ควรสวดมนต์ให้มีเสียงดับพอสมควร ย่อมก่อให้เกิดประโยชน์แก่จิตตน และประโยชน์แก่จิตอื่นเกี่ยวกับว่าประโยชน์แก่จิตตน คือ เสียงในการสวดมนต์จะกลบเสียงภายนอกไม่ให้เข้ามารบกวนจิต ก็จะทำให้เกิดความสงบอยู่กับบทสวดมนต์นั้น ๆ ทำให้เกิดสมาธิและปัญญา เข้ามาในจิตใจของผู้สวดว่าประโยชน์แก่จิตอื่น คือ ผู้ใดที่ได้ยินได้ฟังเสียงสวดมนต์จะพลอย ได้เกิดความรู้เกิดปัญญา มีจิตสงบลึกซึ้งตามไปด้วย ผู้สวดก็เกิดกุศลไปด้วยโดยการให้ทานโดยทางเสียง เหล่าพรหมเทพที่ชอบฟังเสียงในการสวดมนต์ มีอยู่จำนวนมาก ก็จะมาชุมนุมฟังกันอย่างมากมาย เมื่อมีเหล่าพรหมเทพเข้ามาล้อมรอบตัวของผู้สวดอยู่เช่นนั้น ภัยอันตรายต่าง ๆ ที่ไหนก็ไม่สามารถกล้ำกลายผู้สวดมนต์ได้ตลอดจนอาณาเขตและบริเวณบ้านของผู้ที่สวดมนต์ ย่อมมีเกราะแห่งพรหมเทพและเทวดา ทั้งหลายคุ้มครองภัยอันตราย ได้อย่างดีเยี่ยม...”
-นี่คือโอวาทธรรมของเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์(โต พรฺหมฺรังสี) เกี่ยวกับอานิสงส์ของการสดมนต์
-จึงขอเชิญชวนชาวพุทธทุกท่านได้มาสวดมนต์ข้ามปีเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัวและประเทศชาติโดยส่วนรวม ในเทศกาลส่งท้ายปีเก่าและต้อนรับปีใหม่นี้
-และได้น้อมนำหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาโดยเฉพาะศีล5 ที่ทางคณะสงฆ์ ท่านเชิญชวนมาเป็นหลักในการดำเนินชีวิต เพื่อที่พวกเราจะได้อยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสันติสุขตลอดไป.