นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี จำกัด(มหาชน)หรือ(BPCG) เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในปีนี้ คาดว่าจะมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ,ภาษี,ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) เติบโตมากกว่า 10% จากปีก่อน ซึ่งความคืบหน้าการขายโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (โซลาร์ฟาร์ม) ประเทศญี่ปุ่น จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการ Nikaho และ Nagi ขนาดกำลังผลิตรวม 27.6 เมกะวัตต์ ให้แก่ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานในประเทศญี่ปุ่น มูลค่าประมาณ 3,185 ล้านบาทนั้น คาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงไตรมาส 3-4 ปีนี้
การดำเนินธุรกิจผลิตไฟฟ้าในรูปแบบ retail ซึ่งเป็นทำตลาดกับผู้บริโภครายย่อยผ่านการทำโซลาร์รูฟท็อปนั้น คาดว่าจะได้รับดีลผลิตไฟฟ้าในปีนี้ราว 20-30 เมกะวัตต์ (MW) จากปัจจุบันที่มีกว่า 12 เมกะวัตต์ ซึ่งมาจากการเป็นผู้ติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปในพื้นที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) 12 เมกะวัตต์ และโครงการนำร่องพื้นที่ T77 ย่านสุขุมวิท 77 ของบมจ.แสนสิริ (SIRI) จำนวน 635 กิโลวัตต์ โดยในส่วนของโครงการ T77 เตรียมจะเปิดโครงการนำร่องแลกเปลี่ยนซื้อขายไฟฟ้าพลังงานโซลาร์ระหว่างผู้บริโภคภายในชุมชนในวันที่ 22 ส.ค.นี้
ทั้งนี้โครงการ T77 จะมีผู้ที่เกี่ยวข้องรวม 4 ราย โดยเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าและซื้อขายไฟฟ้าระหว่างกัน 3 ราย ได้แก่ คอมมูนิตี้มอลล์ ,โรงเรียน และคอนโดมิเนียม ส่วนอีก 1 รายจะเป็นผู้ซื้อ คือ โรงพยาบาลฟัน และมีบริษัทเป็นผู้บริหารโครงการแลกเปลี่ยนซื้อขายไฟฟ้า ซึ่งจะนับเป็นโครงการแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่จะมีการนำเทคโนโลยี Blockchain สื่อกลางในการทำธุรกรรมบนช่องทางดิจิทัล มาใช้นำร่องแลกเปลี่ยนซื้อขายไฟฟ้าพลังงานโซลาร์ระหว่างผู้บริโภคภายในชุมชนอย่างเต็มรูปแบบ
โดยสามารถบริหารจัดการการซื้อขายไฟฟ้าให้มีราคาต่ำกว่าราคาขายปลีกไฟฟ้าประมาณ15% โดยบริษัทและ SIRI มีเป้าหมายจะดำเนินการบริหารจัดการการแลกเปลี่ยนซื้อขายไฟฟ้าในลักษณะเดียวกันนี้อีกในหลายโครงการ รวม 2 เมกะวัตต์ ภายในปี 63