ครม.รับทราบการเพิ่มจุดนำเข้าและจุดส่งออกในการกักกันโรคและตรวจสอบสำหรับการส่งออกและนำเข้าผลไม้ผ่านประเทศที่สามระหว่างไทยและจีน
นางสาวอัยรินทร์ พันธุ์ฤทธิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีมติรับทราบการเพิ่มจุดนำเข้าและจุดส่งออก จำนวน 5 ด่าน ในภาคผนวกของพิธีสารว่าด้วยข้อกำหนดในการกักกันโรคและตรวจสอบสำหรับการส่งออกและนำเข้าผลไม้ผ่านประเทศที่สามระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ
นางสาวอัยรินทร์ กล่าวว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ของไทยและสำนักงานศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (General Administration of Customs of the People’s Republic of China: GACC) ได้มีการลงนามในพิธีสารว่าด้วยข้อกำหนดในการกักกันโรคและตรวจสอบสำหรับการส่งออกและนำเข้าผลไม้ผ่านประเทศที่สามระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2564 โดยมีสาระสำคัญเกี่ยวกับเงื่อนไขของใบรับรองสุขอนามัยพืช (Phytosanitary Certificate) และหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการกักกันโรคและการตรวจสอบสำหรับการส่งออกและนำเข้าผลไม้ไทยผ่านประเทศที่สามระหว่างไทยกับจีน ซึ่งจุดนำเข้าและจุดส่งออกสำหรับการขนส่งผลไม้ของทั้งสองฝ่ายจะถูกกำหนดลงในภาคผนวกของพิธีสารฉบับนี้ โดยไม่จำกัดเส้นทางในการขนส่งผลไม้ระหว่างกัน ทั้งนี้ การลงนามพิธีสารเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2563 ซึ่งเห็นชอบและอนุมัติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการดังกล่าว ซึ่งในการประชุมหารือทางเทคนิคระหว่างกรมการกักกันพืชและสัตว์ GACC และสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2568 ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบการแก้ไขเพิ่มจุดนำเข้าและจุดส่งออกทั้ง 5 ด่านของไทยและจีนในภาคผนวกของพิธีสารฯ โดยเห็นควรให้ภาคผนวก มีผลบังคับใช้ในเบื้องต้นภายในวันที่ 1 กันยายน 2568 ซึ่งทั้งสองฝ่ายจะดำเนินการตามมาตรการทางกฎหมายภายในประเทศ และตกลงจะแลกเปลี่ยนช่องทางติดต่อรวมถึงวันที่ด่านพร้อมดำเนินการต่อไป
นางสาวอัยรินทร์ กล่าวต่อว่า พิธีสารว่าด้วยข้อกำหนดในการกักกันโรคและตรวจสอบสำหรับการส่งออกและนำเข้าผลไม้ผ่านประเทศที่สามระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทยและสำนักงานศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นการดำเนินการภายใต้บันทึกความเข้าใจร่วมกันว่าด้วยความร่วมมือด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืชระหว่างไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งลงนามเมื่อวันที่ 12 เมษายน 2547 โดยมีสาระสำคัญเป็นการกำหนดรายละเอียดของใบรับรองสุขอนามัยพืช (Phytosanitary Certificate) ตามเงื่อนไขและหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการกักกันโรคและการตรวจสอบสำหรับการส่งออกและนำเข้าผลไม้ผ่านประเทศที่สามระหว่างไทยกับจีน ซึ่งจุดนำเข้าและจุดส่งออกสำหรับการขนส่งผลไม้ของทั้งสองฝ่ายจะถูกกำหนดลงในภาคผนวกของพิธีสารฉบับนี้ กรณีการเปลี่ยนแปลงแก้ไข หรือเพิ่มเติมจุดนำเข้าและจุดส่งออกอื่นของทั้งสองฝ่าย สามารถเพิ่มเข้าไปในภาคผนวกของพิธีสารนี้ได้ผ่านการหารือเห็นชอบร่วมกัน โดยในภาคผนวกของพิธีสารที่ได้มีการลงนามแล้วระบุจุดนำเข้าและจุดส่งออกของสาธารณรัฐประชาชนจีน จำนวน 10 ด่าน ได้แก่ 1) โหย่วอี้กว่าน 2) โม่ฮาน 3) ตงชิง 4) สถานีรถไฟผิงเสียง 5) สถานีรถไฟโม่ฮาน 6) หลงปัง 7) สุยโข่ว 8) เหอโข่ว 9) สถานีรถไฟเหอโข่ว และ 10) เทียนป่าว ขณะที่จุดนำเข้าและจุดส่งออกของไทยมีจำนวน 6 ด่าน ได้แก่ 1) เชียงของ 2) มุกดาหาร 3) นครพนม 4) บ้านผักกาด 5) บึงกาฬ และ 6) หนองคาย ซึ่งปัจจุบันจุดนำเข้าและจุดส่งออกของสาธารณรัฐประชาชนจีนที่ระบุในพิธีสารฯ จำนวน 1 ด่าน ได้แก่ สถานีรถไฟเหอโข่ว ยังไม่เปิดนำเข้าผลไม้จากไทยเนื่องจากอยู่ระหว่างการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวก
โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ GACC ได้เห็นชอบร่วมกันในการเพิ่มเติมจุดนำเข้าและจุดส่งออกในภาคผนวกของพิธีสารดังกล่าว โดยขอเพิ่มจุดนำเข้าและจุดส่งออกของสาธารณรัฐประชาชนจีน จำนวน 2 ด่านในมณฑลยูนนาน ได้แก่ 1) เมิ่งคัง และ 2) ตำลั่ว และขอเพิ่มจุดนำเข้าและจุดส่งออกของราชอาณาจักรไทย จำนวน 3 ด่าน ได้แก่ 1) ทุ่งช้าง จังหวัดน่าน 2) ภูดู่ จังหวัดอุตรดิตถ์ และ 3) บ้านฮวก จังหวัดพะเยา ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้มีการแลกเปลี่ยนหนังสือตอบรับอย่างเป็นท่างการ และผ่านการประชุมหารือทางเทคนิคระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
สำหรับประโยชน์และผลกระทบ มีดังนี้
1. การเพิ่มจุดนำเข้าและจุดส่งออกในภาคผนวกของพิธีสารฯ สอดคล้องกับแผนปฏิบัติการร่วมว่าด้วยความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ไทย-จีน ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2565 - 2569) รวมถึงแผนความร่วมมือที่เกี่ยวข้องด้านต่าง ๆ ในภาคเกษตร เพื่อส่งเสริมความร่วมมือและเกิดการอำนวยความสะดวกทางการค้าข้ามพรมแดน เพื่อให้เกิดการไหลเวียนที่คล่องตัวขึ้นของผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรระหว่างไทยกับจีน
2. การเพิ่มเติมจุดนำเข้าและจุดส่งออกในภาคผนวกดังกล่าว เป็นการช่วยเพิ่มช่องทางการเข้าสู่ตลาดจีนของผลไม้ไทยและเพิ่มทางเลือกในการขนส่งผลไม้ทางบก อันเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรและ ผู้ประกอบการไทย อีกทั้งช่วยลดความแออัดจากการขนส่งสินค้าผ่านเส้นทางเดิมในช่วงฤดูกาลผลไม้ด้วย