“สำหรับเงินลงทุนในการเลือกซื้อแฟรนไชส์โครงการฯ นี้ เริ่มต้นตั้งแต่ 4,990 บาท เป็นต้นไป ทำให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐหรือผู้ที่สนใจลงทุนในระบบแฟรนไชส์แต่มีเงินไม่มาก ก็สามารถเลือกลงทุนและเป็นเจ้าของกิจการได้ ขณะเดียวกัน กรมฯ ได้ประสานงานกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และธนาคารออมสินร่วมให้สินเชื่อแก่ผู้ที่เข้าร่วมโครงการฯ ด้วย โดยจะคิดดอกเบี้ยเงินกู้ในอัตราพิเศษ”
“ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่สนใจเลือกแฟรนไชส์ไปประกอบอาชีพแล้ว แต่ยังไม่มีทำเลหรือสถานที่ขายสินค้า กรมฯ ได้ประสานงานกับปั้มน้ำมันบางจาก เทสโก้ โลตัส และบิ๊กซี ในการจัดหาพื้นที่ขายสินค้าให้และคิดค่าเช่าในอัตราพิเศษ โดยมีรายละเอียด ดังนี้ - ปั๊มน้ำมันบางจาก ฟรีค่าเช่า 1 เดือนสำหรับกรุงเทพฯ ปริมณฑล และ จ.ชลบุรี สำหรับต่างจังหวัด ยกเว้นค่าเช่า 3 เดือน - เทสโก้ โลตัส ฟรีค่าเช่า 2 เดือน และในเดือนที่ 3 คิดอัตราค่าเช่าให้ส่วนลด 40% - บิ๊กซี ฟรีค่าเช่า 2 เดือนแรก เดือนที่ 3-4 คิดค่าเช่าในอัตรา 50 % เดือนที่ 5-6 คิดค่าเช่าในอัตรา 75%”
“ทั้งนี้ ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2561 ที่ผ่านมา กรมฯ ได้นำธุรกิจแฟรนไชส์ จำนวน 100 แบรนด์ ลงพื้นที่ในส่วนภูมิภาคแล้ว 13 จังหวัด ได้แก่ นครราชสีมา ลำปาง อุดรธานี เชียงราย นครศรีธรรมราช กำแพงเพชร พระนครศรีอยุธยา พิษณุโลก ขอนแก่น ร้อยเอ็ด นครปฐม กาญจนบุรี และอุบลราชธานี โดยแฟรนไชส์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คือ ประเภทอาหารและเครื่องดื่ม (ร้อยละ 90) เนื่องจากเป็นธุรกิจที่สามารถบริหารจัดการและจำหน่ายได้ง่าย รองลงมา คือ ธุรกิจเกี่ยวกับความงาม และบริการ ซึ่งจากการนำธุรกิจแฟรนไชส์ลงพื้นที่ทั้ง 13 จังหวัด สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้แล้วกว่า 50 ล้านบาท คาดว่าเมื่อจบทั้งโครงการ (20 จังหวัด) จะสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท”
“โครงการ “แฟรนไชส์สร้างอาชีพ” ที่จัดขึ้นนี้ จะช่วยให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ผู้มีรายได้น้อย และผู้ว่างงานมีอาชีพเป็นของตนเอง สามารถสร้างรายได้อย่างมั่นคง และเป็นการกระจายรายได้สู่ท้องถิ่นอย่างยั่งยืน ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ ส่วนส่งเสริมธุรกิจแฟรนไชส์ กองส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า โทร 0 2547 5953 สายด่วน 1570 หรือ www.dbd.go.th” อธิบดีฯ กล่าวทิ้งท้าย