กรมการค้าต่างประเทศ ผลักดันการเจรจากับประเทศคู่ค้า ปลดล็อคระเบียบปฏิบัติภายใต้ความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน (ACFTA) ช่วยให้ผู้ค้าไทยสามารถนำเข้าสินค้าจากประเทศภาคี ACFTA มาทยอยส่งขายต่อให้กับลูกค้าในประเทศภาคีอื่น โดยใช้ Form E แบบ Movement Certificate เพื่อขอรับสิทธิพิเศษลด/ยกเว้นภาษีนำเข้าประเทศภาคีปลายทางได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เป็นการอำนวยความสะดวก ลดอุปสรรคทางการค้า และส่งเสริมให้ผู้ประกอบการหันมาใช้สิทธิ ACFTA เพิ่มมากขึ้น
นายอดุลย์ โชตินิสากรณ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมฯ ในฐานะหน่วยงานหลักในการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าภายใต้ความตกลงด้านการค้าต่างๆ รวมถึงมีภารกิจในการกำกับดูแลด้านการค้าต่างประเทศของไทย ได้มีการผลักดันให้มีการปรับปรุงระเบียบที่เป็นอุปสรรคทางการค้าและโลจิสติกส์ โดยเมื่อวันที่ 9-12 ตุลาคม 2561 ที่ผ่านมา กรมฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เข้าร่วมเจรจาในการประชุมคณะทำงานด้านกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า (ACJC-WGROO) ครั้งที่ 11 ณ นครเฉิงตู สาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อผลักดันให้ที่ประชุมหาข้อสรุปประเด็นการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Form E) แบบ Movement Certification (MC)กรณีนำเข้าสินค้าเป็นล็อตใหญ่เข้ามาทยอยส่งออกเพื่อขายต่อ (Partial Shipment) ซึ่งที่ผ่านมาขาดความชัดเจนว่าสามารถขอ Form E แบบ MC สำหรับการทยอยส่งออกหลายครั้งได้หรือไม่ โดยในการประชุมครั้งนี้ที่ประชุมมีมติว่า ความตกลงฯ ดังกล่าว อนุญาตให้ออกหนังสือรับรอง Form E แบบ Movement Certification (MC)กรณีทยอยส่งออกได้
นายอดุลย์ฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า Form E แบบ Movement Certification (MC) เป็นข้อกำหนดที่เอื้อให้กับรูปแบบการค้าแบบ “ซื้อมา-ขายไป” กล่าวคือกรณีของประเทศไทย ผู้ค้าไทยสามารถนำเข้าสินค้าที่ได้ถิ่นกำเนิดจากประเทศภาคีหนึ่งมาขายต่อโดยการส่งออก (re-export) ไปยังประเทศภาคีอื่น ได้แก่ จีน และประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นๆ อีก 9 ประเทศ โดยยังคงได้รับสิทธิพิเศษในการลด/ยกเว้นภาษีขาเข้าประเทศปลายทาง เป็นแต้มต่อในการขายสินค้า และนับเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการสร้างรายได้ให้กับประเทศ ซึ่งเป็นการพัฒนาธุรกิจจากภาคการผลิตก้าวสู่ภาคบริการที่สร้างมูลค่าเพิ่มได้มากยิ่งขึ้น
รูปแบบการค้าในปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงไป ความสามารถในการแข่งขันด้านการขายสินค้าไปยังตลาดต่างประเทศไม่ได้ขึ้นอยู่กับคุณภาพของสินค้าเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องอาศัยการบริหารจัดการด้านโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพเพื่อลดต้นทุนในการกระจายสินค้าไปถึงมือลูกค้าด้วย ส่งผลให้ผู้ประกอบการที่มีเครือข่ายทางการค้าและมีศักยภาพด้านโลจิสติกส์มีความได้เปรียบ และในบางกรณีสามารถสร้างรายได้โดยไม่ต้องผลิตสินค้าด้วยตนเองเพียงเปลี่ยนบทบาทจากการเป็นผู้ผลิตมาเป็นผู้กระจายสินค้า ดังเช่นโมเดลธุรกิจของประเทศสิงคโปร์ นอกจากนี้ ประเทศไทยยังมีข้อได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ในการเป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์ของอาเซียน กรมฯ จึงพยายามผลักดันและพัฒนาโลจิสติกส์ของไทยให้เข้มแข็งเพื่อไม่ให้ผู้ประกอบการไทยเสียเปรียบในการแข่งขันในเวทีการค้าระหว่างประเทศ
ทั้งนี้ หากผู้ประกอบการมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการค้าต่างประเทศ สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วน 1385 หรือเว็บไซต์กรมการค้าต่างประเทศwww.dft.go.th