นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีและ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง กรณีที่ครม.เพิ่มสิทธิประโยชน์หลายอย่างผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐว่า เข้าใจว่ารัฐบาลกังวลว่ากำลังซื้อชาวบ้านแย่มาก จึงพยายามแก้ปัญหา แต่สิ่งที่รัฐบาลทำเป็นไปในลักษณะทำตามใจชอบของรัฐบาล โดยไม่ได้ทำเป็นระบบ เพราะไม่รู้ว่าปีหน้าจะให้อีกรึเปล่า สะท้อนว่ากำลังกลับไปสู่ประชานิยมเหมือนเดิม เพราะไม่มีเกณฑ์ขึ้นอยู่กับรัฐบาลในขณะนั้น ๆ ตัดสินใจตามใจชอบ อีกทั้งมาตรการที่ออกมา มีความซับซ้อนพอสมควร เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเดินทางโรงพยาบาล ซึ่งตนเป็นห่วงว่ามีการเอานโยบายอื่นมาพันกับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐมากขึ้น แต่ขาดการวางระบบและหลักเกณฑ์ที่มีความยั่งยืน
อดีตนายกรัฐมนตรี ยังตั้งคำถามถึงรัฐบาลด้วยว่า ถ้าคิดว่าดีทำไมกำหนดให้สิ้นสุด กันยายนปีหน้า โดยกรณีน้ำ ไฟ นั้นในสมัยที่ประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล เราคิดช่วยค่าไฟคนมีรายได้น้อยไม่ให้เป็นภาระผู้เสียภาษีแต่ไปเก็บจากผู้ใช้ไฟเยอะ แต่ตอนนี้ไม่ได้ดำเนินการแบบนั้น เท่ากับรัฐบาลไม่คำนึงถึงระบบ ไม่คำนึงถึงความยั่งยืน ซึ่งผมไม่รู้ว่าเป็นการชิงความได้เปรียบทางการเมืองหรือไม่ แต่ประชาชนมองออก โดยเชื่อว่า จะไม่เป็นอย่างที่รัฐบาลหวังว่าคนจะให้การสนับสนุนมากขึ้น และไม่คิดว่าจะได้เสียงมากเท่าที่รัฐบาลคิด
นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า หากประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล จะเดินหน้าแนวคิดการมีสวัสดิการดูแลผู้มีรายได้น้อย โดยจะทำอย่างเป็นระบบ แตกต่างจากในปัจจุบัน เพราะหากทำเช่นนี้ คนถือบัตรจะได้อะไรเพิ่มเรื่อย ๆ แม้จะพ้นสภาพการเป็นคนที่ควรได้รับความช่วยเหลือแล้ว ขณะที่คนไม่มีบัตรก็เสียสิทธิไปเรื่อย ๆ ทั้งที่เป็นคนจนแต่จะไม่ได้รับการช่วยเหลืออะไรเลย จึงต้องเปลี่ยนแปลงวิธีการแบบนี้ โดอะไรเป็นสิทธิที่ประชาชนพึงได้ ควรให้เป็นการทั่วไปให้มากที่สุด และให้รูปแบบสะดวกที่สุด เช่น การเติมกำลังซื้อไม่ควรจำกัดว่าจะนำเงินไปใช้ที่ไหน เพราะทำให้ประชาชนไม่สะดวก ไม่มีทางเลือก เงินที่พึงหมุนเวียนกับชุมชน ตลาดสด ร้านค้า ไม่เกิดขึ้น ร้ายที่สุดคือคนที่เคยขายของให้คนมีรายได้น้อยสูญเสียธุรกิจ ทำให้เพิ่มคนที่มีปัญหาเศรษฐกิจมากขึ้น