“รัฐมนตรีเกษตรฯ” เร่งขับเคลื่อนแก้ไขปัญหายางพารา ผ่าน 4 โครงการสำคัญ หวังเป็นของขวัญปีใหม่ให้ชาวสวนยางและเพิ่มการใช้ยางพาราในประเทศเพิ่มขึ้น
นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ (กนย.) ครั้งที่ 1/2561 ณ ห้องประชุม 134-135 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เมื่อเร็วๆ นี้ว่า ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบใน 4 โครงการ เพื่อนำเสนอในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ประกอบด้วย 1. โครงการสร้างความเข้มแข็งให้เกษตรกรชาวสวนยาง พ.ศ. 2561 – 2562 เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนค่าครองชีพของเกษตรกรชาวสวนยาง เป้าหมาย เกษตรกรชาวสวนยางที่มีสวนยางในพื้นที่มีเอกสารสิทธิ์ที่เปิดกรีดแล้ว และขึ้นทะเบียนกับการยางแห่งประเทศไทย ก่อนวันที่ 14 พฤศจิกายน 2561 จำนวน 999,065 ราย และคนกรีดยาง 304,266 ราย รวมเนื้อที่ 9,448,447 ไร่ โดยให้ความช่วยเหลือเกษตรกรตามพื้นที่เปิดกรีดจริง ไร่ละ 1,800 บาท ไม่เกินรายละ 15 ไร่ (กรณีมีคนกรีดยางแบ่งเป็นเจ้าของสวนยาง 1,100 บาทต่อไร่ และคนกรีดยาง ๗๐๐ บาทต่อไร่) วงเงิน 17,512,734,883 บาท (ซึ่งเป็นงบของ ธ.ก.ส. และ กยท.)
2. โครงการ 1 หมู่บ้าน 1 กิโลเมตร โดยการสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนำน้ำยางพาราไปใช้สร้างถนนพาราซอยด์ซีเมนต์ ทั่วประเทศจำนวน 75,032 หมู่บ้าน หมู่บ้านละ 1 กิโลเมตร รวมระยะทาง 75,032 กิโลเมตร ซึ่งจะทำให้มีการดูดซับน้ำยางออกจากตลาดในปริมาณมาก และจะทำให้ราคายางมีเสถียรภาพมากขึ้นในระยะยาว โดยแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารโครงการ 1 หมู่บ้าน 1 กิโลเมตร จัดทำแผนปฏิบัติงานโครงการ โดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การยางแห่งประเทศไทย และดำเนินโครงการโดยองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น ตามแผนปฏิบัติงานโครงการปรับปรุงถนนภายในหมู่บ้าน ให้เป็นถนนที่มีการนำยางพารามาเป็นส่วนผสม ในการก่อสร้างถนนในชั้นพื้นฐานหนา 15 เซนติเมตร กว้าง 6 เมตร คาดว่าสามารถเพิ่มปริมาณการใช้ยางภายในประเทศมากขึ้นโดยการนำยางพารามาใช้ในการทำถนน เป็นจำนวนน้ำยางสด 1,440,614.4 ตัน หรือคิดเป็นน้ำยางข้น 720,320.2 ตัน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 16,326.9600 ล้านบาท วงเงิน92,327.4320 บาท (ใช้งบประมาณจากเงินสะสมขององค์กรปกครองท้องถิ่น)
3. โครงการการบริหารจัดการรักษาเสถียรภาพราคายางพาราของสถาบันเกษตรกร โดยกรมส่งเสริมสหกรณ์สนับสนุนให้สหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรที่มีศักยภาพและมีความพร้อมเป็นแหล่งรับซื้อยางพาราจากสมาชิกเกษตรกรและรวมตัวกันเพื่อจำหน่ายยางพาราเพื่อการส่งออก ขณะนี้ได้สำรวจเบื้องต้นพบว่ามีจำนวนไม่ต่ำกว่า 8 กลุ่มสหกรณ์ที่ดำเนินการอยู่แล้ว อาทิ สหกรณ์กองทุนสวนยางอำเภอบ่อทอง จำกัด จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นสถาบันเกษตรต้นแบบที่สามารถผลักดันสินค้ายางพาราส่งออกไปต่างประเทศได้สำเร็จ จึงให้กรมส่งเสริมสหกรณ์คัดเลือกสหกรณ์การยางที่มีความเข้มแข็งและสนใจทำผลิตภัณฑ์ยางส่งออกเข้าร่วมโครงการ(วงเงินสินเชื่อของ ธ.ก.ส. 5,000 ล้านบาท)
และ 4. โครงการลดพื้นที่ปลูกยางพาราเพื่อปลูกพืชอื่นทดแทนเป็นการช่วยลดความเสี่ยงด้านผลกระทบจากราคายางตกต่ำ และช่วยเพิ่มรายได้รวมไปถึงสร้างทางเลือกในอาชีพ เพื่อความยั่งยืนให้กับเกษตรกรชาวสวนยาง จึงได้ตั้งคณะทำงานพิเศษเพื่อดูแลกำกับเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด ได้แก่ กรมส่งเสริมการเกษตร กรมวิชาการเกษตร และการยางแห่งประเทศไทย
“ได้กำชับให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการอย่างจริงจัง หากเกิดปัญหาอุปสรรคให้รีบแจ้งทันทีเพื่อไม่ให้เกิดความล่าช้า โดยการขับเคลื่อนทั้ง 4 โครงการนี้จะเร่งรัดให้เกิดเป็นรูปธรรมให้เร็วที่สุด ซึ่งตั้งใจอย่างยิ่งว่าอยากให้ความสำเร็จนี้เป็นของขวัญก่อนปีใหม่ให้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง
นอกจากนี้ ในเวลาต่อมา นายรัฐมนตรีเกษตรฯ ยังได้ร่วมหารือกับ 6 บริษัทเอกชนผู้ผลิตยางล้อรถยนต์รายใหญ่ของไทยด้วยว่า ได้เชิญบริษัทเอกชนผู้ประกอบการผลิตยางล้อรถยนต์รายใหญ่ในประเทศไทย 6 บริษัท ร่วมหารือแนวทางการแก้ไขปัญหาราคายางพาราใน 2 ประเด็น คือ
1. ขอความร่วมมือผู้ประกอบการฯ ในการเพิ่มปริมาณการรับซื้อวัตถุดิบยางพารา เพื่อนำไปผลิตยางล้อรถยนต์ให้มากขึ้น โดยซื้อขายตรงผ่านสถาบันเกษตรกร และ 2. ขอรับฟังข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะ ตลอดจนข้อจำกัดของผู้ประกอบการ และสิ่งที่ต้องการการสนับสนุนจากภาครัฐ หากรัฐต้องการให้ขยายกำลังและฐานการผลิตภายในประเทศ
ทั้งนี้ ทางกระทรวงเกษตรฯ ได้เสนอแนวทางให้ผู้ประกอบการรับซื้อยางจากสถาบันเกษตรกรโดยตรง เพื่อเป็นการลดขั้นตอน ลดระยะเวลาในการดำเนินการให้เบ็ดเสร็จภายในประเทศไทย นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีแนวทางสนับสนุนให้ผู้ประกอบการ ขยายกำลังการผลิตยางในประเทศไทย ซึ่งผู้ประกอบการได้ขอให้ภาครัฐช่วยลดขั้นตอนและกระบวนการขึ้นทะเบียนต่างๆ เพื่อให้เกิดความคล่องตัวมากขึ้น
สำหรับมาตรการนำยางพารามาเป็นส่วนผสมในการทำถนนพาราซอยด์ซีเมนต์นั้น ได้เตรียมหารือร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กรมทางหลวง และกรมบัญชีกลางในการจัดทำคู่มือและสูตรของส่วนผสมกลาง สำหรับเป็นมาตรฐานและแนวทางในการปฏิบัติงาน โดยเตรียมส่งมอบให้องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีหน้าที่ในการทำถนนโดยตรง นำไปบริหารจัดการต่อได้ ซึ่งขณะนี้ได้เริ่มนำร่องสร้างถนนในหลายจังหวัดแล้ว อาทิ จังหวัดสงขลา ตรัง บึงกาฬ และหนองบัวลำพู เป็นต้น