กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข จัดทำหนังสือ “GREEN BOOK 2019” รวบรวมรายชื่อยาที่มีคุณภาพเข้ามาตรฐานสากล ภายใต้ “โครงการประกันคุณภาพยา” โดยได้เพิ่มช่องทางการเข้าถึงข้อมูลยาผ่าน Mobile application สามารถใช้ได้ทั้งระบบ android และ iOS จึงเป็นประโยชน์ต่อบุคลากรทางการแพทย์ ระบบสุขภาพของประเทศและประชาชน
นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยว่า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยสำนักยาและวัตถุเสพติด มีภารกิจสำคัญในการคุ้มครองผู้บริโภคด้านยา โดยภายใต้ “โครงการประกันคุณภาพยา” ได้สุ่มตัวอย่างยาที่มีใช้ในโรงพยาบาลภาครัฐทั่วประเทศมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2545 จนปัจจุบัน เพื่อตรวจวิเคราะห์คุณภาพโดยใช้เกณฑ์มาตรฐานสากล ซึ่งยาที่มีผลการตรวจ “เข้ามาตรฐาน” จะได้รับการเผยแพร่ในหนังสือ “GREEN BOOK” ส่วนยาที่มีผลการตรวจ “ไม่เข้ามาตรฐาน” สำนักยาและวัตถุเสพติดจะรายงานไปยังสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เพื่อดำเนินการตรวจสอบและแจ้งให้ปรับปรุงต่อไป
ในปีนี้ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้รวบรวมข้อมูลผลิตภัณฑ์ยาที่มีคุณภาพเข้ามาตรฐาน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545 – 2561 มาจัดทำเป็นหนังสือ “GREEN BOOK 2019” ประกอบด้วยยา 370 รายการ (ตามชื่อสามัญ) จาก 3,289 รุ่นผลิต (lot number) โดยในปีล่าสุดนี้ ยังได้สุ่มตรวจคุณภาพผลิตภัณฑ์สมุนไพรฟ้าทะลายโจร และเจลพริก ที่มีใช้ในโรงพยาบาล เพื่อช่วยส่งเสริมการใช้สมุนไพรไทยในการดูแลรักษาสุขภาพ และเพื่อสนับสนุนผู้ผลิตยาสมุนไพรให้สามารถผลิตยาได้มาตรฐานยิ่งขึ้น
นายแพทย์โอภาส กล่าวต่ออีกว่า นอกจากนี้ใน “GREEN BOOK 2019” ยังมีรายการยาชีววัตถุ (biological product) ซึ่งเป็นยาโปรตีน เช่น erythropoietin (epoetin), filgrastim, heparin, insulin ซึ่งมักมีกระบวนการผลิตที่ซับซ้อนแตกต่าง จากยาที่ผลิตจากสารเคมี ทำให้มีราคาแพงมาก ส่งผลให้ผู้ป่วยบางรายไม่สามารถรับภาระค่าใช้จ่ายนี้ได้ ดังนั้นข้อมูลยาชีววัตถุใน “GREEN BOOK 2019” จึงช่วยให้แพทย์และเภสัชกรสามารถเลือกยาชีววัตถุที่เข้ามาตรฐาน แต่มีราคาสมเหตุผลได้
“ทั้งนี้ยังได้เพิ่มช่องทางการสืบค้นข้อมูลผ่านทาง Mobile application “GREEN BOOK DMSC” ซึ่งสามารถใช้งานได้ทั้งระบบ android และ iOS หรือทางเว็บไซต์ สำนักยาและวัตถุเสพติด https://www.bdn.go.th ข้อมูลเหล่านี้จึงเป็นประโยชน์ต่อบุคลากรทางการแพทย์ รวมทั้งระบบสุขภาพของประเทศ และประชาชนในการเลือกใช้ยาต่างๆ ได้” นายแพทย์โอภาส กล่าวทิ้งท้าย