นายวิจารย์ สิมาฉายา ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) กล่าวว่า องค์การสหประชาชาติได้กำหนดให้วันที่ 5 มิ.ย.ของทุกปี เป็นวันสิ่งแวดล้อมโลก เพื่อให้ทั่วโลกตื่นตัวกับวิฤตการณ์สิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้น ร่วมกันหาแนวทางป้องกันและลงมือแก้ไข โดยปีนี้ โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ
(United Nations Environment Programme หรือ UNEP) รณรงค์ภายใต้คำขวัญ “Beat Air Pollution” หรือ
ที่ประเทศไทยใช้คำขวัญรณรงค์ว่า “หยุดหมอกควันและอากาศพิษ เพื่อคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อม” ซึ่งปีนี้ สาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นเจ้าภาพการจัดงาน เพื่อเรียกร้องให้ทุกภาคส่วนให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศที่เป็นภัยคุกคามผู้คนทั่วโลก ทั้งกระทบต่อการดำเนินชีวิต กระทบต่อสุขภาพ ก่อให้เกิดโรคต่างๆ เช่น
กลุ่มโรคระบบหัวใจและหลอดเลือด โรคเรื้อรังของทางเดินหายใจ โรคติดเชื้อเฉียบพลัน โรคมะเร็งปอด และเสี่ยงต่อสมองเสื่อม รวมทั้งกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ ตลอดจนกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และส่งผลต่อการเกิดภาวะโลกร้อน ซึ่งข้อมูลจาก UNEP พบว่า 9 ใน 10 ของประชากรโลกหายใจเอาอากาศที่ปนเปื้อนมลพิษเข้าไป ทำให้แต่ละปีมีผู้เสียชีวิตก่อนวัยอันควรราว 7 ล้านคน ในจำนวนนี้ เกินครึ่ง (4 ล้านคน) อยู่ในแถบเอเชีย – แปซิฟิก
คิดเป็นมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจในระดับโลกถึง 5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐต่อปี และในปีนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม จึงกำหนดจัดงานวันสิ่งแวดล้อมโลก ประจำปี 2562 ขึ้น
เพื่อรณรงค์พร้อมกับประเทศต่างๆ ทั่วโลก
ที่ผ่านมากระทรวงฯ ได้ดำเนินการ
แก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งการกำกับดูแลการปล่อยมลพิษทางอากาศของสถานประกอบการ โรงงานและนิคมอุตสาหกรรม การตรวจวัดฝุ่นควันจากท่อไอเสียรถยนต์ การป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันในพื้นที่ภาคเหนือ และลดการเผาในที่โล่ง ซึ่งได้มีการจัดตั้งศูนย์เรียนรู้ชุมชนต้นแบบปลอดการเผา ครอบคลุมพื้นที่ 9 จังหวัดภาคเหนือตอนบน (เชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ตาก พะเยา น่าน แพร่ ลำปาง ลำพูน) จำนวน 29 ศูนย์ เพื่อเป็นแหล่ง ถ่ายทอดองค์ความรู้และพัฒนาศักยภาพของชุมชนในการขยายผลไปสู่หมู่บ้าน อำเภอ จังหวัด สร้างการมีส่วนร่วม
กับหน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันภาคเหนือตอนบน
อีกทั้งมีการขยายความร่วมมือกับประเทศในภูมิภาคอาเซียนในการแก้ไขปัญหามลพิษจากหมอกควันข้ามแดน
อย่างยั่งยืน โดยมีเป้าหมายให้ภูมิภาคอาเซียนเป็นภูมิภาคปลอดหมอกควัน ภายในปี 2563 ส่วนแนวทางและมาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก ได้มีแนวทางส่งเสริมให้รถยนต์สาธารณะ ปรับเปลี่ยนไปใช้น้ำมัน B20 ให้มากขึ้น รวมทั้งเร่งรัดนำน้ำมันดีเซลเทียบเท่ามาตรฐาน EURO 5 มาจำหน่ายในพื้นที่ในกรุงเทพฯ/ปริมณฑล ส่งเสริมการใช้บริการขนส่งสาธารณะ และยานยนต์ไฟฟ้า ตลอดจนพัฒนาศักยภาพท้องถิ่นในการติดตามการตรวจสอบคุณภาพอากาศและการควบคุมเป็นระบบ Single Command นอกจากนี้ ยังได้ดำเนินการส่งเสริมการเพิ่มพื้นที่สีเขียวในเขตเมือง
ทั่วประเทศ เพื่อช่วยดูดซับมลพิษ สร้างอากาศบริสุทธิ์ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ หรือแม้แต่พื้นที่ว่าง
ของอาคารบ้านเรือนก็สามารถปรับเปลี่ยนให้เป็นพื้นที่สีเขียวได้ จึงถึงเวลาแล้วที่พวกเราทุกคนต้องร่วมมือกัน
ตั้งแต่ตอนนี้ ทุกคนสามารถป้องกันและแก้ไข ปรับปรุงคุณภาพอากาศให้ดีขึ้นได้ เพียงปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
ลดกิจกรรมที่ก่อให้เกิดมลพิษ เพื่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีของพวกเราทุกคน